นิดสารออนไลน์ฉลาดซื้อ เผยผลตรวจ เครื่องดื่มผสมวิตามินซี ไม่พบปริมาณวิตามินซี 8 ตัวอย่าง และมีปริมาณวิตามินซีไม่ตรงตามที่แจ้งบนฉลาก
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2020 ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ภายใต้โครงการสนับสนุนระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ รายงานว่า ผลทดสอบปริมาณวิตามินซีใน เครื่องดื่มผสมวิตามินซี จำนวน 47 ตัวอย่าง ที่วางจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด พบมีปริมาณวิตามินซีไม่ตรงตามที่แจ้งบนฉลากสินค้า และมีถึง 8 ตัวอย่างที่ไม่พบปริมาณวิตามินซี (https://www.consumerthai.org/news-consumerthai/consumers-news/food-and-drug/4529-631512-vitamincdrink.html)
“มูลนิธิฯ สุ่มตัวอย่างเครื่องดื่มผสมวิตามินซีที่หาซื้อได้ในท้องตลาด และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการ โดยทางห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้วิธีการตรวจหาปริมาณวิตามินซีในรูป L-ascorbic acid ด้วยวิธี In-house method SOP LBFD-13631 ซึ่งเป็นวิธีการที่เผยแพร่ในวารสาร Food Control ปี 2001” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ให้ข้อมูลกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ทางอีเมล
ขณะที่เฟซบุ๊กของ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์และนักวิจัยด้านเคมีอินทรีย์ ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โพสต์ให้ความเห็นกับกรณีนี้ว่า “วิตามินซีสลายตัวได้เร็วที่สุดในเจ้าพวกวิตามินด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวต่อออกซิเจนมาก (มีความไวต่อปฎิกิริยา Oxidation)” และเสริมว่า “นอกจากนี้ยังสามารถสลายตัวได้ง่ายในบรรยากาศที่มีความร้อน แสง ความชื้น โลหะหนัก (เช่น เมื่อตั้งทิ้งไว้ในบรรยากาศที่มีทองแดง) และในสิ่งแวดล้อมที่มีสภาพเป็นด่าง เป็นต้น”
“สสารไม่ได้สูญหายไปไหนแค่เปลี่ยนรูปแล้วเปลี่ยนฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น เรื่องความร้อน ขวดน้ำวิตามินแค่บรรจุลงลัง แล้วนำขึ้นบนรถบรรทุกขนส่งไม่ถึง 5 ชั่วโมง ปริมาณวิตามินซีก็ลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม วิตามินซีจะเปลี่ยนรูปกลายเป็นสารอื่นแทน คือ L-tartrate ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์และช่วยให้มีสุขภาพที่ดี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจแล้วได้ค่าเป็นศูนย์ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจแล้วค่าเต็ม หรือเกินกว่าที่กำหนดบนฉลากบรรจุภัณฑ์” รศ.ดร.วีรชัย ตั้งข้อสังเกต (https://www.facebook.com/phutdhawong)
ในเวลาต่อมา ทางมูลนิธิจึงออกมาชี้แจ้งต่อการตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ว่า
“กระบวนการทดสอบอาหารเครื่องดื่มผสมวิตามินซีของนิตยสารฉลาดซื้อ ได้มีการสุ่มตัวอย่างในเดือน พฤศจิกายน 2563 จำนวน 47 ตัวอย่าง จากทุกยี่ห้อเท่าที่จะหาซื้อได้ในท้องตลาดในช่วงเวลาที่กำหนด โดยมีหลักฐานจ่ายเงินเหมือนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ จากนั้นได้ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปทดสอบในห้องทดลองของมหาวิทยาลัย หรือห้องทดสอบเอกชนระดับมาตรฐาน ISO 17025 เมื่อทราบผลแล้วจะมีการนำเสนอให้ประชาชนทราบ และเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อพิจารณาหามาตรการนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุง เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคต่อไป”
ธรรมชาติของวิตามินซี
วิตามินซีเป็นหนึ่งในสารอาหารที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ สัตว์ส่วนใหญ่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้ แต่มนุษย์ต้องอาศัยวิตามินซีจากอาหารเท่านั้น ในอาหารมีวิตามินซี 2 รูปแบบซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง 2 ชนิดคือ Ascorbic acid และ Dehydroascorbic acid
คุณสมบัติทางเคมีของวิตามินซี หรือ Ascorbic acid มีผลึกสีขาว มีรสเปรี้ยว เป็นวิตามินชนิดที่ละลายน้ำได้ เมื่อละลายน้ำมีฤทธิ์เป็นกรด และเป็นวิตามินที่สลายตัวเร็วที่สุดในจำพวกวิตามินด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวต่อออกซิเจนมาก (ปฏิกิริยา oxidation) รวมไปถึงสลายตัวเร็วในบรรยากาศที่มีทองแดง ในสิ่งแวดล้อมที่มีสภาพเป็นด่าง และ Ascorbic oxidase enzyme ที่มีอยู่ในผลไม้
วิตามินซีพบมากในผักและผลไม้สด โดยเฉพาะพวกพืชตระกูลส้ม ยกตัวอย่างเช่น ในน้ำมะนาว 100 มิลลิตร มีวิตามินซีอยู่ประมาณ 35 มิลลิกรัม เป็นต้น ส่วนในผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีปริมาณวิตามินซีสูงคือ ฝรั่ง จากการตรวจหาปริมาณวิตามินซี พบว่าฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีอยู่ประมาณ 200 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ยังพบวิตามินซีในอาหารอาหารประเภทอื่นๆ แต่มีปริมาณน้อย เช่น ตับ ไข่ปลา ในน้ำนม (น้ำนมมนุษย์มีประมาณ 4.4 มก./100 มล.)
วิธีการตรวจหาปริมาณวิตามินซี
ปัจจุบัน วิธีการสากลที่ใช้วิเคราะห์ปริมาณวิตามินซีในอาหารแะเครื่องดื่มมีหลากหลายวิธี เช่น การไทเทรชั่น (Titrimetric), การใช้เอนไซม์ (Enzymatic), chemiluminometric, spectrophotometric, fluorometric และ amperometric เป็นต้น แต่สำหรับการวิเคราะห์หาวิตามินซีที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูงมีสองวิธี คือ
high-performance liquid chromatography (HPLC) เป็นเทคนิคที่เราใช้แยกองค์ประกอบที่แตกต่างกันของสารประกอบ ซึ่งใช้ในการระบุปริมาณและแยกส่วนประกอบของส่วนผสม โดยในการตรวจหาวิตามินซีในเครื่องดื่มเป็นการตรวจหากรดแอสคอร์บิก และแอสคอร์บิกทั้งหมด (ซึ่งเกิดจากการรวมกันของกรดแอสคอร์บิก และกรดดีไฮโดรแอสคอร์บิก)
Ultra-performance liquid chromatography (UPLC) คือกระบวนการที่พัฒนามาจาก HPLC ซึ่งเร็วกว่า ละเอียดกว่า และประหยัดกว่า
เมื่อวิตามินซีกลายมาเป็นเครื่องดื่ม
ปัจจุบันเครื่องดื่มที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีการเติบโตทางการตลาดสูงก็คือ “เครื่องดื่มผสมวิตามินซี” ซึ่งจัดเป็นเครื่องดื่มประเภทฟังก์ชันนัล (Functional Drinks) หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Health Beverage)
โดยเครื่องดื่มเหล่านี้มักจะมีการกล่าวอ้างสรรพคุณว่าช่วยเพิ่มเติมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในแต่ละวัน เช่น เสริมกรดอะมิโน เสริมคอลลาเจน วิตามินบีรวมต่าง ๆ รวมไปถึงสารสกัดจากสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการป้องกันโรคต่าง ๆ และสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระซึ่งเน้นเป็นจุดขาย
ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 เว็บไซต์ Medthai.com รายงานว่า “เครื่องดื่มวิตามินซี 200% หรือ เครื่องดื่มวิตามินซี 2 เท่า คือ เครื่องดื่มที่ระบุว่ามีปริมาณวิตามินซีต่อขวดเท่ากับ 120 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 2 เท่า หรือ 200% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งปริมาณวิตามินซีที่แนะนำขั้นต่ำต่อวันก็คือ 60 มิลลิกรัม (อ้างอิงจากค่า Thai RDI ซึ่งเป็นค่าปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป) ส่วนความต้องการวิตามินซีขั้นต่ำต่อวันถ้าแยกตามเพศและวัยแล้วจะมีความต้องการแตกต่างกันไป”
อย่างไรก็ตาม ในผู้ใหญ่ ผู้สูบบุหรี่ หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ร่างกายจะต้องได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีกจากปริมาณที่แนะนำต่อวัน และในอนาคตทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะมีการปรับปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับขั้นต่ำจากวันละ 60 มิลลิกรัม เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 90-100 มิลลิกรัม
เครื่องดื่มผสมวิตามินซี ดีจริงหรือ
วิตามินซีขนาด 120 มิลลิกรัมต่อวัน นั้นสามารถหวังผลเรื่องสุขภาพเสริมภูมิคุ้มกันได้มากน้อยแค่ไหน “ปริมาณที่ร่างกายได้รับยังไม่มากพอที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มักมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง (ตั้งแต่ 2-9 ช้อนชา จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้บริโภคน้ำตาลจากอาหารทุกชนิดรวมกันไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน) ซึ่งการบริโภคน้ำตาลสูงบ่อย ๆ จะส่งผลเสียต่อร่างกายหลายอย่างไม่ใช่แค่เรื่องเสี่ยงเกิดโรคต่างๆ” อ้างจากบทความในเว็บไซต์ Medthai.com
นอกจากเรื่องของน้ำตาลที่ควรระวังแล้ว ผู้บริโภคควรดูข้อมูลการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพิ่มเติมด้วย เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลบางชนิดไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางประเภท เช่น โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria)
ในส่วนของทางการแพทย์แนะนำว่า “หากเราอยากดื่มบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะชอบในเรื่องของรสชาติและร่างกายได้รับวิตามินซีด้วย แบบนี้ไม่มีปัญหาต่อสุขภาพ” อย่างไรก็ตาม หากจะดื่มทุกวันเพื่อหวังผลลัพธ์เรื่องสุขภาพ หรือดื่มเช้าดื่มเย็น แพทย์ไม่แนะนำการดื่มแบบนี้ เพราะการรับประทานทานวิตามินซีเพื่อเสริมสุขภาพเสริมภูมิคุ้มกันได้จริง ๆ นั้นจะต้องรับประทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 500 มิลลิกรัม
ประกอบกับสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในบ้านเราตอนนี้ที่เต็มไปด้วยปัญหาของฝุ่นควัน PM 2.5 เชื้อโรคก็มาก (โดยเฉพาะเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้) และทุกปีมีอัตราผู้ป่วยเป็นโรคติดต่อทางลมหายใจก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณวิตามินซีที่แพทย์แนะนำให้รับประทานเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย เป็นวันละ 1,000 มิลลิกรัม
สำหรับผู้ที่อยากทานวิตามินซีจริง ๆ เพื่อหวังผลเรื่องสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน และหวังเรื่องความงามผิวพรรรณด้วย ขอแนะนำเป็นวิตามินซีแบบผงใช้ชงผสมกับน้ำดื่ม ซึ่งก็เป็นวิตามินซีอีกรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะให้ปริมาณวิตามินซีเทียบเท่ากับแบบเม็ดและไม่เสื่อมสลายได้เหมือนเครื่องดื่มวิตามินซีสำเร็จรูป
ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่เติมวิตามินซีเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มหรือเครื่องสำอางต่าง ๆ เป็น “อนุพันธ์” (Derivative) ของวิตามินซี ซึ่งมีความเสถียรและความทนทานมากกว่าวิตามินซีปกติมาก หมายความว่า นำสารตัวนั้นมาเปลี่ยนแปลงหมู่ฟังก์ชั่นแค่บางหมู่ เพื่อให้สารตัวนั้นคงสภาพได้ โดยที่ยังคงมีคุณสมบัติและโครงสร้างใกล้เคียงกับตัวตั้งต้น ซึ่งอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ใส่เข้าไปในเครื่องดื่มนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีเอนไซม์ที่เข้าไปจัดการเปลี่ยนหมู่ฟังก์ชั่นของอนุพันธ์จนกลับไปเป็นวิตามินซีตัวเดิมได้ แล้วร่างกายจึงนำไปใช้งานได้นั่นเอง
ส่วนสาเหตุที่วิตามินซีในเครื่องดื่มหายไป อาจเกิดได้จากระหว่างการะบวนการผลิต เนื่องจากอุณหภูมิ และการบรรจุลงขวด เกิดการออกซิเดชัน (สูญเสียร้อยละ 10–60) และสามารถสูญเสียได้อีกในระหว่างการจัดเก็บซึ่งขึ้นอยู่กับพาชนะที่บรรจุว่าทนต่อความร้อน และแสงได้มากเพียงใด เนื่องจากวิตามินซีถูกทำลายได้ด้วยแสงแดด อุณหภูมิประมาณ 60 – 76 องศาเซลเซียส ซึ่งขึ้นอยู่กับ pH ของเครื่องดื่มด้วย แม้แต่ยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างรสชาติกันก็ยังมีปริมาณวิตามินซีไม่เท่ากันได้
สืบค้นและเรียบเรียง : ณภัทรดนัย
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน วิตามิน และเกลือแร่
