กระดูก เป็นส่วนที่แข็งแรงและทนทานที่สุด ซึ่งกระดูกแต่ละท่อนถูกเชื่อมต่อกันด้วยเอ็นหรือพังผืดตรงบริเวณข้อต่อ ทำให้กระดูกมีความยืดหยุ่นและสามารถสนับสนุนการเคลื่อนไหวไปมาของร่างกายได้อย่างอิสระ
ระบบกระดูกของมนุษย์ (Skeletal System) ประกอบด้วยกระดูก (Bone) กระดูกอ่อน (Cartilage) เอ็นยึดข้อต่อ (Ligament) และข้อต่อ (Joint) โดยมีกระดูกเป็นส่วนที่แข็งแรงและทนทานที่สุด ซึ่งกระดูกแต่ละท่อนถูกเชื่อมต่อกันด้วยเอ็นหรือพังผืดตรงบริเวณข้อต่อ ทำให้กระดูกมีความยืดหยุ่นและสามารถสนับสนุนการเคลื่อนไหวไปมาของร่างกายได้อย่างอิสระ
หน้าที่ของระบบกระดูก
- ค้ำจุนโครงสร้างของร่างกายและทำหน้าที่รองรับอวัยวะต่าง ๆ ให้คงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ป้องกันอวัยวะภายในร่างกายที่สำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และปอด รวมไปถึงหลอดเลือดและเส้นประสาทที่ทอดยาวอยู่ภายในแนวกระดูก จากอันตรายและการกระทบกระเทือนต่าง ๆ
- เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว
- ผลิตเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ และยังเป็นแหล่งสำรองของแคลเซียมที่สำคัญ
กระดูกของมนุษย์มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ
- สารอินทรีย์หรือส่วนที่มีชีวิตของกระดูก คือ เซลล์กระดูก เนื้อเยื่อประสาทและเส้นเลือดต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้กระดูกมีความเหนียวและยืดหยุ่น ทำให้กระดูกไม่เปราะบางและแตกหักได้ง่าย
- สารอนินทรีย์หรือส่วนที่ไม่มีชีวิตของกระดูก คือ สารประกอบแคลเซียมและโซเดียมจากเกลือแร่ต่าง ๆ ที่ทำให้กระดูกแข็งแรงและทนทาน
ในร่างกายขอมนุษย์ ระบบโครงกระดูกผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างสลับซับซ้อน จากในระยะตัวอ่อน (Embryo) หรือในร่างกายของทารกแรกเกิดที่มีจำนวนกระดูกอยู่มากถึง 350 ชิ้น ซึ่งในภายหลังกระดูกแต่ละชิ้นจะเชื่อมต่อกัน เพื่อรองรับร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้น จนกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่ ร่างกายของเราจะเหลือจำนวนกระดูกรวมกันทั้งหมด 206 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ
- กระดูกแกน (Axial Skeleton) หมายถึง กระดูกที่เป็นแกนกลางของลำตัวมีอยู่ทั้งหมด 80 ชิ้น ประกอบด้วย
- กระดูกกะโหลกศีรษะ (Skull) 29 ชิ้น ทำหน้าที่ห่อหุ้มและปกป้องสมอง
- กระดูกสันหลัง (Vertebral Column) 33 ชิ้น (ในวัยเด็ก) หรือ 26 ชิ้น (ในวัยผู้ใหญ่) ทำหน้าที่ค้ำจุนและรองรับน้ำหนักของร่างกาย
- กระดูกทรวงอก (Thorax) 1 ชิ้นบริเวณสันอก (Sternum) และกระดูกซี่โครง (Rips) อีก 12 คู่ ทำหน้าที่รวมกับกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในการหายใจและปกป้องอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น ปอดและหัวใจ
- กระดูกรยางค์ (Appendicular Skeleton) หมายถึง กระดูกนอกเหนือไปจากบริเวณลำตัวมีอยู่ทั้งหมด 126 ชิ้น ประกอบด้วย
- กระดูกไหล่ (Pectoral Girdle) ทั้งหมด 4 ชิ้น ซึ่งประกอบด้วยกระดูกไหปลาร้า (Clavicle) กระดูกสะบัก (Scapula) ชนิดละ 2 ชิ้น ทำหน้าที่รองรับแขนและช่วยในการเคลื่อนไหว
- กระดูกแขน (Upper Extremities) ข้างละ 30 ชิ้น รวมทั้งสิ้น 60 ชิ้น ทำหน้าที่เป็นฐานเชื่อมโยงกับกระดูกอื่น ๆ ในร่างกาย
- กระดูกขา (Lower Extremities) ข้างละ 30 ชิ้น รวมถึงกระดูกเชิงกราน (Pelvic Girdle) และกระดูกสะโพก (Hip Bones) อีก 2 ชิ้น รวมทั้งหมด 62 ชิ้น
ข้อต่อ (Joints) คือ ส่วนของรอยต่อกระดูกที่เกิดจากการเชื่อมกันของกระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป โดยมีเอ็นและกล้ามเนื้อช่วยยึดเสริมความแข็งแรง ทำให้โครงกระดูกมีความยืดหยุ่นและสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระ ซึ่งในข้อต่อบางส่วนจะมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อ (Synovial Fluid) ทำหน้าที่หล่อลื่น เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีที่รุนแรงและทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนไหว ในร่างกายของมนุษย์ ข้อต่อแต่ละข้อมีโครงสร้างลักษณะและหน้าที่แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสม เช่น การงอ (Flexion) ของไหล่หรือข้อขา การเหยียด (Extension) ของข้อเขาและกระดูกสันหลังหรือการหมุน (Rotation) ของคอและข้อสะโพก เป็นต้น
การเจริญเติบโตและอายุของกระดูก
กระดูกในร่างกายของมนุษย์เริ่มเจริญเป็นกระดูกอ่อนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และจะพัฒนาเป็นกระดูกที่แข็งแรงขึ้นจากการดูดซับธาตุอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ เมื่อร่างกายเจริญเติบโต โดยมีจุดศูนย์กลางของการพัฒนาอยู่ที่บริเวณแกนกระดูก ก่อนจะขยายไปในส่วนของกระดูกรยางค์ทั้ง 2 ข้างลำตัว การเจริญเติบโตของกระดูกมนุษย์จะแตกต่างกันออกไปตามช่วงอายุและเพศ โดยมีฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้น
- เพศชาย : กระดูกจะมีการเติบโตอย่างมากในช่วงอายุระหว่าง 18 ถึง 21 ปี
- เพศหญิง : กระดูกจะมีการเติบโตอย่างมากในช่วงอายุระหว่าง 16 ถึง 18 ปี
กระดูกจะเจริญไปจนถึงอายุประมาณ 25 ปี ก่อนจะหยุดการเจริญเติบโต ซึ่งกระดูกนับเป็นส่วนของเนื้อเยื่อที่มีชีวิตและมีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งในทุก ๆ วันกระดูกมีการสลายตัวและสร้างขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาหรือที่เรียกว่า “วงจรกระดูก” ซึ่งจะเข้าสู่ภาวะสมดุล เมื่อถึงช่วงวัยประมาณ 25 ถึง 30 ปี และเมื่อเลยจากช่วงอายุดังกล่าวไป อัตราการสลายตัวของกระดูกจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งไม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างการสลายตัวและการสร้างใหม่ ส่งผลให้มนุษย์เราเมื่ออายุมากขึ้น กระดูกจะมีมวลลดลงและทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนนั่นเอง
สืบค้นและเรียบเรียง
คัดคณัฐ ชื่นวงศ์อรุณ
อ้างอิง
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม – http://kpi.msu.ac.th
โรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์ – https://nachuakpit.ac.th
Encyclopædia Britannica, Inc. – https://www.britannica.com