ลืมเรื่องเดินวันละ 10,000 ก้าวไปได้เลย การศึกษาล่าสุดชี้ ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายการเดินสูงขนาดนั้นอีกต่อไป

ลืมเรื่องเดินวันละ 10,000 ก้าวไปได้เลย การศึกษาล่าสุดชี้ ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายการเดินสูงขนาดนั้นอีกต่อไป

“แม้การเดินที่มากขึ้นจะสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม

โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคเรื้อรังอื่นๆ จริง

แต่การศึกษาล่าสุดกลับพบว่า

คุณสามารถเดินน้อยกว่า 10,000 ก้าวต่อวันได้ และยังได้ผลดีต่อสุขภาพเช่นกัน”

 

หากคุณเคยได้ยินได้ฟังมาว่า การเดินวันละ 10,000 ก้าวนั้น เป็นปัจจัยสำคัญช่วยนำไปสู่สุขภาพที่ดีได้ แต่สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้อาจทำให้คุณประหลาดใจก็ได้  เมื่อนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่า “ตัวเลข 10,000 ก้าวที่ว่านั้นถูกกำหนดขึ้น เพียงเพื่อจำหน่ายเครื่องนับก้าว และไม่ได้มาจากข้อมูลที่ศึกษาจริง”

งานวิจัยหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Public Health วารสารสุขภาพระดับโลก ซึ่งมีที่มาจากการทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับจำนวนก้าวเดินและสุขภาพในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจำนวน 57 ชิ้น ครอบคลุมการศึกษากลุ่มตัวอย่างมากถึง 35 กลุ่ม โดยมีอาสาสมัครที่เข้าร่วมทั้งจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ

อีกทั้งกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ยังครอบคลุมทั้งผู้ชาย ผู้หญิงที่สุขภาพแข็งแรง ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังหลายๆ โรคและผู้สูงอายุ รวมจำนวนกว่า 160,000 คน   การศึกษาพบว่า “จำนวนการก้าวเดินในแต่ละวันที่มีผลต่อการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังหลายโรคนั้น แท้จริงแล้วมีจำนวนก้าวที่ “ต่ำ” กว่านี้มาก”

ทีมวิจัยดังกล่าวซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์จากประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และนอร์เวย์ หลังศึกษาอย่างละเอียดพวกเขาระบุว่า การเดินเพียงวันละ 7,000 ก้าวก็เพียงพอที่จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังและภาวะผิดปกติทางสุขภาพบางอย่างได้มากกว่า 6 รายการ  รวมถึงลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงได้ด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่เดินวันละ 2,000 ก้าว พวกเขาพบว่า การเดินวันละ 7,000 ก้าวนั้น สัมพันธ์กับการความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ได้มากถึง 38 เปอร์เซ็นต์ โรคหัวใจและหลอดเลือด 25 เปอร์เซ็นต์ และการพลัดตกหกล้มอีก 28 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรก็ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นยังพบว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ก็มีตัวเลขลดลงด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะน้อยกว่าในโรคเรื้อรังอื่นๆ ก็ตาม เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า การออกกำลังกายและกิจกรรมทางกายต่างๆ รวมถึงการเดินในระดับปานกลางล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมวิจัยสามารถเชื่อมโยงเป้าหมายของการก้าวเดินกับผลลัพธ์เชิงสุขภาพที่จะเกิดขึ้นตามมาได้

“อุปกรณ์นับก้าวเริ่มมีวางจำหน่ายแพร่หลายมากขึ้นจนประชาชนทั่วไปอดสงสัยไม่ได้ว่า ควรตั้งเป้าหมายการก้าวเดินในแต่ละวันไว้ที่เท่าไหร่กันแน่ แต่ผลการศึกษาล่าสุดนี้จะทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจมากขึ้นกับการตั้งเป้าหมายก้าวเดินใหม่ เพียงวันละ 7,000 ก้าว ก็เพียงพอต่อการดูแลสุขภาพแล้ว” เมโลดี้ ดิง นักวิจัยสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าว

การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมนำไปสู่ “ประมาณการณ์” จำนวนก้าวที่แม่นยำยิ่งขึ้น

“การศึกษาครั้งนี้น่าตื่นเต้นมากเพราะทำให้รู้ว่า จำนวนการก้าวเดินในแต่ละวันนั้นส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพที่สำคัญอย่างไรบ้าง และยังทำให้เราสามารถบอกผู้ป่วยที่ดูแลได้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องยึดหลักที่ต้องเดินให้ได้วันละ 10,000 ก้าว เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้นอีกแล้ว” ไมเคิล โรชา อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และผู้นำการเดินสำรวจภายในชุมชนภายใต้โครงการสาธารณสุขชื่อ Walk with a Doc ซึ่งจัดขึ้นทั่วประเทศ กล่าว

ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2020 ช่วงนั้นบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยยังไม่มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะแนะนำ “จำนวนการก้าวเดินในแต่ละวันที่มีผลดีต่อสุขภาพ” นั่นจึงทำให้ข้อมูลการเดิน 10,000 ก้าวต่อวันที่เผยแพร่ออกมาก่อนนั้นยังคงเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับสาธารณชนในเวลานั้นไป ทว่าตัวเลขสี่หลักที่ว่านั้นก็ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยท้อใจและไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้สักที

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษางานวิจัยจำนวนมากที่ตีพิมพ์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็ทำให้ทีมวิจัยได้ให้ข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถกำหนดเป้าหมายสูงสุดของจำนวนก้าวที่เหมาะสมในแต่ละวันได้ชัดเจนขึ้น

ยกตัวอย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2023 ซึ่งพบว่า “การเดินเพียง 2,800 ก้าวต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ และหากสามารถเดินได้ถึง 7,200 ก้าวต่อวัน ก็จะยิ่งได้รับประโยชน์เชิงสุขภาพสูงสุด”

การศึกษางานวิจัยทั้งหมดที่คัดเลือกมานั้นยังทำให้ทีมวิจัยพบว่า การเดิน 10,000 ก้าวต่อวันนั้น แม้จะสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค หรือชะลอการดำเนินโรคบางโรคได้จริง เช่น ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็ง ช่วยลดภาวะสมองเสื่อม ช่วยลดอาการซึมเศร้า การป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ตัวเลขผลลัพธ์ที่ได้จากการเดิน 10,000 ก้าวต่อวันนั้นก็ขยับเพิ่มจากผลลัพธ์ที่ได้จากการเดิน 7,000 ก้าวต่อวันไม่มากนัก แต่หากใครที่ชื่นชอบการออกกำลังกายอยู่แล้ว การจะเดินให้ถึง 10,000 ก้าวต่อวัน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด

อย่ารอที่จะ “เดิน”

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยอมรับว่า งานวิจัยครั้งนี้ยังมีข้อจำกัดในการสรุปผลวิจัยอยู่บ้างอยู่บ้าง เนื่องจากกลุ่มงานวิจัยที่กล่าวถึงบางภาวะ หรือบางเงื่อนไขสุขภาพ เช่น กลุ่มตัวอย่างที่มีปัญหาสุขภาพจิต การพลัดตกหกล้ม ยังมีการศึกษาไม่มากพอ โดยพบกรณีที่น่าสนใจเพียง 4-6 ชิ้น เท่านั้น

“ดังนั้นในอนาคตหากมีการรวบรวมข้อมูลและการศึกษาที่มากขึ้นและครอบคลุมมากกว่านี้ ผลลัพธ์เหล่านี้ก็มีโอกาสเปลี่ยน แปลงด้วยเช่นกัน” เมโลดี้ ดิง กล่าว

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังพบว่า “อัตราเร็วในการเดิน” น่าจะมีบทบาทสำคัญต่อประโยชน์เชิงสุขภาพที่จะได้รับด้วย เพียงแต่ยังไม่สามารถแจกแจงประโยชน์ที่จะได้รับ หรืออัตราเร็วที่เหมาะสมในการเดินได้อย่างแม่นยำ

“การออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้รับการพิสูจน์มาอย่างต่อเนื่องว่า เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันและชะลอการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ เนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนและช่วยนำส่งสารอาหารไปยังสมองได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพที่สำคัญได้ เช่น ความดันโลหิต  ฉันจึงมักจะแนะนำผู้ป่วยทุกคนที่ฉันดูแลว่า หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมคือ การเดินเร็วเป็นประจำ” สเตฟานี ทาวน์ส นักประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา กล่าว

หรืออย่างที่เมโลดี้ ดิง นักวิจัยสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และหัวหน้าทีมวิจัย สรุปว่า “อย่ารอช้า” หรือประวิงเวลารอให้มีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้แล้วค่อยเริ่ม ขอให้คุณเริ่มต้นดวยการผูกเชือกรองเท้าผ้าใบของคุณให้แน่น แล้วเริ่มออกเดินเสียตั้งแต่วันนี้

เรื่อง เมอเรียล เดวิดส์ แลนเดา

แปล วรลักษณ์ ผ่องสุขสัวสดิ์


อ่านเพิ่มเติม : ดื่มโคล่าช่วยลดปวดไมเกรนได้จริงหรือ?

Recommend