เมาโร โมรานดี ค้นพบความสงบในความโดดเดี่ยวจากการ ติดเกาะ มาเป็นเวลาสามทศวรรษก่อนที่การกักตัวจะกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมเช่นทุกวันนี้
คนหลายล้านคนบนโลกต่างตกอยู่ภายใต้ความโดดเดี่ยวเพื่อป้องกันตัวเองจากไวรัสโคโรนา แต่มีชายผู้หนึ่งใช้เวลากว่า 3 ทศวรรษกับความโดดเดี่ยวที่เลือกด้วยตัวเอง
ในปี 1989 เรือของเมาโร โมรานดี (Mauro Morandi) ที่เครื่องยนต์ใช้การไม่ได้และสมอลอยหายไป เข้าเกยฝั่งที่เกาะบูเดลลี (Budelli Island) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างร่องน้ำของเกาะซาร์ดิเนีย (Sardinia) และเกาะคอร์ซิกา (Corsica)
อาจเป็นเพราะโชคเข้าข้าง เนื่องจากภายหลังโมรานดีทราบมาว่าผู้ดูแลของเกาะเกษียณจากตำแหน่งพอดี เขาจึงตัดสินใจขายเรือลำนั้นและเริ่มต้นบทบาทใหม่ของชีวิต
31 ปีต่อมา โมรานดียังคงเป็นทั้งผู้อาศัยและผู้พิทักษ์เพียงคนเดียวของเกาะ
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะมาดดาเลนา (Maddalena Archipelago National Park) ประกอบไปด้วยเกาะ 7 แห่ง เกาะบูเดลลีได้รับการพิจารณาว่าเป็นเกาะที่สวยที่สุดเนื่องจากเป็น Spiaggia Rosa หรือ ชายหาดสีชมพู ทรายสีชมพูได้ดึงเอาเฉดสีประหลาดจากส่วนที่เป็นอนุภาคเล็กๆ ของปะการังและเปลือกหอยที่ค่อยๆ กลายเป็นผงทีละน้อยเนื่องจากการกัดเซาะของกระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศ
ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ชายหาดสีชมพูได้รับการขนานนามให้เป็นพื้นที่แห่ง “ธรรมชาติอันล้ำค่า” โดยรัฐบาลอิตาลี ชายหาดแห่งนี้ถูกปิดเพื่อปกป้องระบบนิเวศที่เปราะบาง และมีเพียงบางพื้นที่ผู้มาเยือนสามารถเข้าถึงได้ ผู้อยู่อาศัยของเกาะมีการเปลี่ยนแปลงจากคนนับพันเหลือเพียงคนเดียวในเวลาอันรวดเร็ว
ในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเวลา 3 ปี หลังการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างนักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์กับรัฐบาลอิตาลีในสิทธิการเป็นเจ้าของเกาะ ศาลได้ตัดสินให้บูเดลลีเป็นของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะมาดดาเลนา และในปีเดียวกัน ทางอุทยานแห่งชาติได้คัดค้านสิทธิการอยู่อาศัยบนเกาะของโมรานดี ซึ่งก่อให้เกิดการตอบรับจากสาธารณชน มีการยื่นคำร้องในการปกป้องสิทธิการอยู่อาศัยของเขาและได้รับรายชื่อสนับสนุนกว่า 18,000 คน ก่อให้เกิดแรงกดดันไปยังนักการเมืองท้องถิ่นในการชะลอกับขับไล่เขาออกไป
“ผมจะไม่ไปจากที่นี่ ผมหวังว่าจะตายที่นี่ ฌาปนกิจร่าง และปล่อยให้เถ้ากระดูกลอยกระจายไปตามสายลม” โมรานดี ซึ่งขณะนี้มีอายุ 81 ปี กล่าว เขาเชื่อว่าทุกชีวิตจะต้องไปหลอมรวมกับธรรมชาติ แนวคิดที่บันดาลใจให้โมรานดียังคงอยู่ในเกาะแม้ไม่ได้รับสิ่งตอบแทนใด ปรัชญาสโตอิคของกรีกโบราณเรียกวิถีนี้ว่า ซิมพาเธรีย (Sympatheia) หรือความรู้สึกที่ว่าจักรวาลนั้นไม่อาจแบ่งแยก แต่ได้หลอมรวมทุกสรรพสิ่งชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โมรานดีกล่าวว่าการสอนให้ผู้คนได้เห็นถึงความสวยงามจะช่วยโลกจากการแสวงหาผลประโยชน์ “ผมอยากให้ผู้คนเข้าใจว่าเราไม่ควรมองหาความสวยงาม แต่ให้รู้สึกถึงความงามเมื่อยามหลับตา” เขากล่าว
หน้าหนาวในเกาะบูเดลลีมีทั้งความสวยงามและเปลี่ยวเหงา โมรานดีต้องอดทนกับช่วงเวลาที่ไม่อาจติดต่อมนุษย์ผู้ใดเป็นเวลามากกว่า 20 วัน เขาพบความบรรเทาทุกข์ผ่านการใคร่ครวญความรู้สึกของตัวเอง เขามักจะนั่งลงบนชายหาดที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากเสียงของลมและคลื่นที่คอยขัดจังหวะความเงียบงัน
“เหมือนติดคุกอยู่ที่นี่” เขากล่าวและเสริมว่า “แต่ก็เป็นคุกที่ผมเลือกด้วยตัวเอง”
ภาพ MICHELE ARDU