การเดินทางสู่ดอยหลวงพะเยา ที่นำมาซึ่งเรื่องราวที่มากกว่าความสวยงาม

การเดินทางสู่ดอยหลวงพะเยา ที่นำมาซึ่งเรื่องราวที่มากกว่าความสวยงาม

ใช้เวลาเดินป่านานที่สุดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

เมื่อบรรยากาศเริ่มมืด มันทำให้พวกเรา 3 คนสุดท้ายของทริป ต้องลืมความเหนื่อย มุ่งหน้าด้วยความเร็วกว่าที่เดินมาตลอดทั้งวัน ไม่ผิดเลยหากจะบอกว่า การเดินป่าครั้งนี้ถือเป็นสถิติการเดินป่าที่ช้าที่สุดในชีวิต

พี่ผลัดเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ผู้ยืนรออยู่บริเวณเนินเขา ขณะที่ท้องฟ้าค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงทไวไลท์ ผมสัมผัสถึงความกังวลของพี่แกทันที จากการสอบถามสถิติการเดินป่าผืนนี้จากจุดเริ่มต้นถึงจุดกางเต็นท์ดึกสุดจะอยู่ที่ 3 ทุ่ม

ส่วนกลุ่มผมคาดว่าจะจบที่ 2 ทุ่ม ดังนั้นหักลบกันแล้ว ถือว่ายังไม่เป็นตำนานของที่นี่

ความตึงเครียดของอารมณ์และอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ จากสัมภาระที่บรรทุกขึ้นมาเกินขีดสุดของร่างกาย

บวกกับระยะเวลาที่แบกเป้หนัก ๆ นานเกินไป เป็นที่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นบันไดก่ายฟ้าตอนกลางวัน

ดังนั้นผมพยายามทำลายความเครียดให้กับพี่เจ้าหน้าที่ และพี่อีก 2 คนว่า จริง ๆ แล้วบันไดก่ายฟ้า มีที่มาจากการที่สมัยก่อน บริเวณนี้เคยมีไก่ฟ้าอาศัยอยู่จำนวนมาก ชาวบ้านเลยตั้งชื่อว่า บันไดก่ายฟ้า ปรากฏว่าทุกคนเงียบกริบ น่าจะเครียดกว่าเดิม โดยเฉพาะพี่ผลัด ฮ่า ๆ

ดังนั้นพี่แกจึงเล่าสรุปให้ฟังว่า ชื่อยอดเขาลูกนี้ถูกตั้งขึ้นจากลักษณะความสูงชัน ชันระดับที่เหมือนเราเอาบันไดไปพาดเพื่อปีนขึ้นท้องฟ้า ผมสัมผัสได้จากเสียงหอบ และก้อนตะคริวที่ก่อตัวขึ้นบริเวณหน้าขา

หากเรามองลงไปด้านล่างในตอนกลางวันเราจะไม่เห็นบ้านคน ถนน จะเห็นก็แต่เพียงสีเขียวของต้นไม้สลับกับพื้นดิน

ปรากฏการณ์ที่มองจากที่สูง

การเดินทางอันยาวนานจบลงที่เวลา 2 ทุ่มนิด ๆ มื้อเย็นที่เพื่อนกลุ่มแรกปรุงเสร็จเมื่อตอนเย็น กลายเป็นอาหารที่เย็นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความหิวได้ถูกเติมเต็ม ความหนาวบรรเทาลง ด้วยความอุ่นจากกองไฟ หลังจากมื้อเย็นผมใช้เวลาเก็บข้าวของ และเต็นท์ของผมกางเสร็จราว 3 ทุ่มเศษ

พวกเราแยกย้ายกันเข้านอนเร็วหลังจากตั้งวงสนทนารีวิวระยะทางของวันนี้ และแชร์ความประทับระหว่างทาง

ปกติแล้วการเดินขึ้นยอดเขาผมมักจะเตรียมขาตั้งกล้องกับกล้อง DSLR รุ่นคร่ำครึเสมอ ด้วยความคาดหวังว่าจะเจอกับทางช้างเผือก แต่ก็นั่นแหละใช่ว่าทุกทริปจะเจอกับความงามของทางน้ำนม ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้อ ค่ำคืนนี้ผมเลยเห็นเพียงดาวบนดินที่โอบล้อมกว๊านพะเยา นั่นคือสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่กำลังหลับ
และพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากเมื่อวาน

วงแสงรุ้งกลอรี (Glory) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งปกติเราจะพบเห็นได้บนเครื่องบิน หรือไม่ก็บนบอลลูน

ดอยหลวง-ดอยหนอก

ทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นทริปของการดูแสงสเปกตรัมก็คงไม่ผิดนัก

พวกเราตื่นเช้าขึ้นมาชมทะเลหมอกที่ลอยจางล้อมรอบตัวเราอยู่ ทุกคนถ่ายภาพตัวเองราวกับได้เดินอยู่บนเมฆ ผมเดินสำรวจรอบ ๆ สังเกตการณ์ความสุขของเพื่อน ๆ มากกว่าดูหมอก เสพอากาศบริสุทธิ์ ใบหน้าทุกคนเปื้อนรอยยิ้ม ทำให้ผมรู้สึกดีกับการตื่นเช้ามาเจออะไรแบบนี้ ผมสะดุดกับวงแสงรุ้งที่ลอยจางอยู่ด้านล่าง ผมโบกมือ กางแขน เงาในวงที่ขยับตามนั่นคือเงาของผมเอง

ชะง่อนหินทุกก้อนถูกจับจองสำหรับการถ่ายภาพที่มีหมอกอบอวลจนหน้าชื้นราวกับฉีดน้ำแร่บนใบหน้า

ดอยหลวง-ดอยหนอก

สิ่งที่เห็นนี้เรียกว่า วงแสงรุ้งกลอรี (Glory) เป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่คล้ายกับรุ้งกินน้ำ โดยจะเริ่มจากวงแดงรอบนอกเข้ามาเป็นสีฟ้าด้านใน หลายปีก่อนผมเห็นกลอรีบนเครื่องบิน ไม่คิดว่าจะได้เจอบนยอดเขา ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงจากดวงอาทิตย์ผ่านละอองน้ำในอากาศนั่นเอง

วิวหน้าเต็นท์ที่เพียงรูดซิปลงก็จะเจอเส้นขอบฟ้าแบบพานอรามา
ดอกหญ้าบานต้อนรับแดดหน้าเต็นท์ ราวกับสวนหน้าบ้านที่มีคนดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย

ปีนดอยหนอกสำรวจศรัทธาของผู้คน

เป้าหมายของวันนี้สมาชิกทุกคนเตรียมพร้อมที่จะปีนขึ้นดอยหนอก ที่ห่างจากจุดกางเต็นท์ราว 3 กิโลเมตร จะเห็นเป็นหินก้อนใหญ่โผล่ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวลักษณะคล้ายกับหนอกสัตว์ สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนทำให้วิวดอยหนอกของผมนั้นมีเมฆหมอกสลับกันเป็นเลเยอร์ ต้องลุ้นว่าจะมองเห็นดอยหนอก ลุ้นกว่าระดับความชันของดอยหนอกที่จะปีนเสียอีก ถึงตรงนี้หากใครกลัวความสูงให้สบายใจได้เลย เพราะพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตั้งเชือกสะลิง และมีการเช็คสม่ำเสมอ สมาชิกทีมคนหนึ่งเมื่อปีนได้เกือบครึ่งทาง ถึงกับถอดใจไม่กล้าไปต่อ แต่ด้วยพลังของการบิ้วท์ ส่งผลให้ไม่มีใครต้องนั่งรอกลางแดดระหว่างทาง

 

หินทุกก้อนล้วนผ่านกระแสลม สายฝนกัดเซาะให้เกิดเป็นลวดลาย และรูปทรงที่ชวนให้นึกไปถึงวันที่แผ่นเปลือกโลกยกตัวขึ้นมา กลายเป็นดอยหนอกที่มนุษย์ตัวเล็กกำลังไต่ขึ้นยอดอยู่ตอนนี้

พักสายตาด้วยการดูละอองน้ำเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเองก่อนไต่ระดับขึ้นยอดดอยหนอก

บนยอดดอยหนอกจะพบกับพลังศรัทธาของผู้คนในพื้นที่ได้ลงแรงกันสร้างสถูป เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าสิ่งปลูกสร้างนี้ไม่ได้ใช้เพียงแค่เงินตราเท่านั้นที่จะสามารถสร้างสิ่งนี้ได้ ทว่าสิ่งที่ยึดถือร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคำสอน หรือความเลื่อมใสในรูปแบบพิธีการบางอย่าง เกิดเป็นสิ่งที่จับต้องได้

ผมเห็นผ้าหลากสีสันที่ผู้คนนำมาผูกตามองค์สถูป ภาพนี้ดูราวกับอยู่ที่เนปาลที่ใช้ธงสีเป็นสัญลักษณ์ของการอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ และให้สายลมโบกธงแผ่ขยายศรัทธาออกไปให้ไกลที่สุด

ธงผ้าที่ผู้คนนำมาประดับจะมีการเปลี่ยนผืนใหม่เป็นประจำทุกปี สะท้อนถึงความตั้งใจของผู้ศรัทธา
เมื่อชีวิตขึ้นไปจุดสูงสุด ต่อจากนั้นเราก็ต้องคลานลงด้วยความระมัดระวัง

ระหว่างทางลงดอยความประทับใจในการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้อัดแน่นไปกว่าใครที่ไหน สัมผัสธรรมชาติ ความรู้สึกร้อนหนาว มันมาแล้วก็ผ่านไป แค่อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่มีโอกาสได้พบกับความงดงามตรงหน้าก็จงใช้เวลาดื่มด่ำให้เต็มที่ อย่างเช่นวิวเต็นท์ของผมในเช้าสุดท้ายก่อนเดินทางลงข้างล่าง ดวงอาทิตย์โผล่ส่งพลังงานมายังโลก และพาความอบอุ่นให้ผมด้วย

ดอยหลวง-ดอยหนอก
หนังสืออาจารย์ประมวลที่ผมติดกระเป๋าไปด้วยเหมาะกับเช้านี้สุด ๆ
ดอยหลวง-ดอยหนอก
กรุ๊ปช็อตเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ทำไม…

ทางเดินกลับไม่ใช่เส้นทางเดิมที่เดินขึ้นมา ป่าแห่งนี้มีความครึ้ม เสียงจักจั่นที่ร้องบนต้นไม้ระงมไปทั้งป่า ผมพยายามหยุดนิ่งเอี้ยวตัวไปดูเจ้าของเสียงร้องว่ามีจำนวนกี่ตัว ต้นแล้วต้นเล่า พอเราเดินเข้าไปใกล้แหล่งกำเนิดเสียงก็จะเงียบสนิท จักจั่นก็จะค่อย ๆ หลบไปยังอีกด้านหนึ่งฝั่งตรงข้ามเรา และในที่สุดผมก็ได้พบกับนักร้องเสียงเพราะ จำนวนหนึ่งตัว! ทว่าเสียงร้องนั้นดังกังวาลราวกับมีหลายร้อยตัวตะโกนแข่งกัน

ดอยหลวง-ดอยหนอก

ดูเหมือนว่าในป่ากำลังเตรียมงานคริสต์มาสกันอยู่

การเดินตามพี่ลูกหาบ พี่ทิศกับพี่เทพผู้สามารถบอกได้ว่า อะไรสามารถกินได้บ้าง หนึ่งในนั้นผมได้ลองกินเกาลัดป่า หรือลูกก่อ ลักษณะคล้ายเกาลัดเยาวราช แต่ผลเล็กกว่า ไม่ต้องใช้เครื่องคั่ว สามารถใช้หินทุบกินสดได้เลย และรสชาติดีมากทีเดียว

ผมชอบสัมภาษณ์พี่ ๆ เพราะผมอยากฟังบทชีวิต และประสบการณ์ส่วนตัว เพราะทุกคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ผมจะเงียบและตั้งใจฟังขณะที่พี่แกเล่าเรื่องในเมืองมีความแตกต่าง ในป่ามีความหลากหลาย แต่เมื่อทุกอย่างมารวมกันก็กลายเป็นระบบนิเวศ เกิดเป็นระบบชีวิตที่ขับเคลื่อนเราให้เกื้อหนุนกันในบ้านที่เรารู้จักเพียงแห่งเดียวนั่นก็คือ โลก

ดูเหมือนว่าในป่ากำลังเตรียมงานคริสต์มาสกันอยู่

 

ผมมีความรู้สึกว่า เมื่อเราปักหลักอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งไม่ว่าจะอยู่นาน หรือไม่ก็ตาม หากสถานที่นั้นมอบพลังงานดี ๆ และสร้างความผ่อนคลายให้กับเราได้ ที่ตรงนั้นก็สมควรที่เราจะกลับไปเยี่ยมเยือนอีกสักครั้งให้ได้

ใครสักคนเคยบอกว่า ถ้าไม่รู้จะจบการเล่าเรื่องยังไง ให้ลองจบโดยใช้โค้ดของคนที่มีอิทธิพลทางความคิดของเรา

คาลิล ยิบราน เคยกล่าวไว้ว่า…
ถ้าอยากเห็นหุบเขาจงปีนขึ้นสันภู
ถ้าอยากเห็นสันภูจงไต่สู่ก้อนเมฆ
แต่ถ้าอยากเข้าใจก้อนเมฆ… จงหลับตาแล้วคิด

สวัสดีครับ 😉

เรื่องและภาพ: ดำเนิน อรุณราตรี


เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ดอยหลวง และดอยหนอก จังหวัดพะเยา

Recommend