ผู้คนพูดกันว่า รังสีห้าซีเวิร์ต (sievert – หน่วยวัดการสัมผัสรังสี) ก็มากพอจะฆ่าคุณได้แล้ว ผมเลยนึกอยากอ่านค่าบนมาตรวัดปริมาณรังสีทำในรัสเซียของผมขึ้นมา ขณะรถตู้นำเที่ยวของเราผ่านเข้าไปยังเขตกีดกัน (exclusion zone) หรือพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่ไพศาลที่รายล้อมเมือง เชอร์โนบิล ไว้
เชอร์โนบิล ทิวสนและเบิร์ชยืนต้นหนาแน่นอยู่ข้างทาง ขณะที่มัคคุเทศก์เตือนเราถึงกฎเบื้องต้น อันได้แก่ อย่าเก็บเห็ดซึ่งดูดซับนิวไคลด์กัมมันตรังสี (radionuclide) จากอากาศนํ้า และดินไว้อย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการเอาสิ่งปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายด้วยการรับประทานอาหารหรือสูบ
บุหรี่กลางแจ้ง ไม่กี่นาทีต่อมา พวกเราก็ผ่านหมู่บ้านร้างแห่งแรกมา และหยุดรถเพื่อชมม้าป่าพรีวอลสกีส์ฝูงเล็กๆ
ยี่สิบแปดปีหลังเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เมือง เชอร์โนบิล เกิดระเบิด เขตกีดกันที่แทบร้างผู้คนถูกสัตว์ป่าเข้ายึดครองในเมืองปรีเปียตอันรกร้าง นกอินทรีเกาะอยู่บนยอดตึกอพาร์ตเมนต์ยุครัสเซียที่ไร้ผู้อยู่อาศัย ม้าป่าพรีวอลสกีส์ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่หายากและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ถูกนำมาปล่อยที่นี่หลังเกิดเหตุได้สิบปี เมื่อหลายฝ่ายพิจารณาแล้วเห็นว่า รังสีอยู่ในปริมาณที่พอทนได้ พวกมันจึงมีพื้นที่ให้วิ่งอย่างอิสรเสรีถึงกว่า 2,500 ตารางกิโลเมตร
ผมเหลือบมองมาตรวัดที่อ่านค่าได้ 0.19 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง หรือเศษเสี้ยวหนึ่งในหนึ่งล้านส่วนของหนึ่งซีเวิร์ต ยังไม่มีอะไรต้องกังวล ระดับสูงสุดที่ผมเห็นในการเดินทางมายูเครนครั้งนี้ คือระหว่างบินจากชิคาโกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เข็มวัดชี้ค่า 3.5 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ขณะเราบินอยู่ที่ระดับความสูง 12,000 เมตรเหนือกรีนแลนด์ และรังสีคอสมิกเจาะทะลุเครื่องบินและผู้โดยสารลงมา
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องเชอร์โนบิลยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าด้วยผลกระทบระยะยาวที่รังสีมีต่อพืชและสัตว์ในท้องถิ่น จนถึงทุกวันนี้ผลกระทบดังกล่าวยังอยู่ในระดับเบาบางอย่างน่าประหลาดใจ แต่สิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อสัตว์มากกว่ากลับมาจากพวกลักลอบล่าสัตว์ที่แอบเข้ามาในเขตกีดกันพร้อมปืนผาหน้าไม้
ไม่กี่นาทีต่อมา เราก็มาถึงหมู่บ้านซาเลเซีย หมู่บ้านกสิกรรมเก่าแก่ และเดินเรื่อยเปื่อยท่ามกลางบ้านเรือนที่ว่างเปล่า กระจกหน้าต่างแตก สีหลุดล่อน ปูนกะเทาะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในบ้านหลังหนึ่ง เราเห็นภาพเลนินตกอยู่บนพื้น มีตุ๊กตาเด็กเล่นตัวหนึ่งแขวนอยู่บนผนังห้องนอนด้วยสายไฟรัดรอบคอดูราวกับบ่วงเพชฌฆาตนอกบ้านมีตุ๊กตาอีกตัวนั่งอยู่ใกล้ซากรถเข็นเด็ก สิ่งเหล่านี้เป็นอนุสรณ์อันน่าขนลุกอย่างแรก ๆ ที่เราเห็นในช่วงสอง
วันแรกในเขตกีดกัน ตุ๊กตาหลายตัวที่ใส่เสื้อผ้าไม่ครบนอนกางแขนขาอยู่ในเปล หน้ากากป้องกันแก๊สพิษห้อยลงมาจากต้นไม้ มีคนจัดฉากขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของหายนะอันเงียบงัน เป็นฝีมือของผู้มาเยือนที่ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา คนที่อยู่ที่นี่ หรือพวกที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายกันแน่
เมื่อเดินต่อไปตามถนน เราก็ต้องแปลกใจเมื่อพบผู้อยู่อาศัยเข้าคนหนึ่ง โรซาเลียเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่ทางการเรียกว่า “ผู้คืนถิ่น” หรือผู้สูงอายุหัวดื้อที่ยืนกรานจะปักหลักอยู่ในที่ที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน เมื่อมัคคุเทศก์ของเราร้องขอ เธอจึงเล่าถึงความลำเค็ญที่เลวร้ายยิ่งกว่า อาณาบริเวณ รอบๆ เมืองเชอโนบิล (หรือโชร์โนบิลตามที่รู้จักกันในยูเครน) เป็นส่วนหนึ่งของที่ลุ่มชื้นแฉะปรีเปียตในแนวรบด้านตะวันออก สมรภูมิสู้รบอันนองเลือดที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง เธอยังจดจำเรื่องทหารเยอรมันและความแร้นแค้นภายใต้การปกครองของสตาลินได้ดี
“คุณมองไม่เห็นรังสีหรอกค่ะ” โรซาเลียบอกเป็นภาษายูเครน ก่อนจะเสริมว่า เธอไม่คิดจะมีลูก ก่อนจะจากกัน โรซาเลียพาเราไปดูสวนผักของเธอ แล้วบอกว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือด้วงมันฝรั่งโคโลราโด
มีอะไรบางอย่างหยั่งรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งดึงดูดให้เราสนใจใคร่รู้และอยากไปเยือน ศูนย์กลางแห่งหายนะที่ไม่มีใครคิดจินตนาการถึง ตั้งแต่เมืองโบราณปอมเปอี สมรภูมิแอนทีทัม ไปจนถึงค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ แต่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ผลพวงของการทำลายล้างด้วยนิวเคลียร์ทำให้เราตะลึงงัน การแตกตัวของอะตอมเมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนกลายเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่สุดของมนุษยชาตินับตั้งแต่การค้นพบไฟ การปลดปล่อยพลังงานในนิวเคลียสของอะตอม ทำให้โลกมีแหล่งพลังงานที่แทบไร้ขีดจำกัด แม้การนำนิวเคลียร์ไปใช้เป็นครั้งแรกในสงครามจะเป็นสิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธ แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เมืองฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ได้มีความพยายามครั้งใหญ่ในการนำพลังงานนิวเคลียร์ไปผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งมีต้นทุนที่ “ถูกเกินกว่าจะวัด” เพื่อปลดปล่อยโลกจากพันธนาการแห่งเชื้อเพลิงฟอสซิล
กว่า 50 ปีต่อมา วงแหวนหมุนวนของอะตอมที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและชัยชนะของเทคโนโลยีกลับกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างและความหวาดกลัวแห่งยุคสงครามเย็น ทุกปีในฤดูใบไม้ผลิ นักท่องเที่ยวจะมุ่งหน้าสู่ประตูสตัลเลียนทางตอนใต้ของรัฐนิวเม็กซิโกที่เปิดให้เข้าชมทรินิตีไซต์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการทดลองจุดระเบิดปรมาณูเป็นครั้งแรกเพื่อดูว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อนำไปทิ้งที่ญี่ปุ่น รายการทัวร์ประจำเดือนที่พาไปเยี่ยมชมสถานที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในรัฐเนวาดากลาง ทะเลทรายโมฮาวี ซึ่งมีการจุดระเบิดอาวุธนิวเคลียร์กว่าหนึ่งพันลูกในช่วงสงครามเย็นมีผู้จองเต็มตลอดทั้งปี 2014
แล้วเราก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องกับมหันตภัย นิวเคลียร์ เมื่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เมืองเชอร์โนบิลซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุหายนะทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดของโลกได้รับการประกาศให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 2011
“การท่องเที่ยวเชิงนิวเคลียร์” (Nuclear Tourism) แนวคิดที่ผุดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับหายนะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ดูช่างไร้สาระสิ้นดี แต่นั่นคือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผม บวกกับความพิศวงจากการได้เห็นเมืองเล็กเมืองน้อย และเมืองใหญ่ทั้งเมืองที่มีประชากรเกือบ 50,000 คนอย่างปรีเปียต ถูกทิ้งร้างอย่างรีบเร่ง และตกอยู่ในเงื้อมมือบงการของธรรมชาติ
ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งร้อยกิโลเมตรในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน การประท้วงนองเลือดนานหลายสัปดาห์ นำไปสู่การขับไล่ประธานาธิบดีและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ รัสเซียซึ่งให้การหนุนหลังประธานาธิบดีผู้ตกจากบัลลังก์ ตอบโต้ด้วยการผนวกคาบสมุทรไครเมีย กองทัพรัสเซียเคลื่อนพลประชิดพรมแดนด้านตะวันออกของยูเครน และแล้วเชอร์โนบิลก็กลับกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดอย่างน่าประหลาด
นักท่องเที่ยวเดนตายคนอื่นๆ ในรถตู้คันเดียวกับผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป จอห์น หนุ่มน้อยจากลอนดอน เป็นพวกชอบ “ท่องเที่ยวแบบสุดขั้ว” การผจญภัยครั้งต่อไปของเขาคือการจองทัวร์ไปเกาหลีเหนือ เกวินจากออสเตรเลียกับจอร์จจากเวียนนาร่วมมือกันสร้างงานศิลปะชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของการกักบริเวณ
ในช่วงเช้าของวันที่ 26 เมษายน ปี 1986 ระหว่างการปิดเครื่องตามกำหนดเพื่อซ่อมบำรุงตามปกติ เจ้าหน้าที่กะกลางคืนรับภาระในการทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยที่สำคัญของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หน่วยที่สี่ ซึ่งล่าช้าจากกำหนดเมื่อวันก่อน ทั้งๆ ที่เป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์มากกว่ายังประจำการอยู่อย่างพร้อมเพรียง
ภายในเวลาเพียง 40 วินาที พลังงานที่เพิ่มระดับขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เครื่องปฏิกรณ์ร้อนเกินขนาด จนชุดแท่งเชื้อเพลิงบางส่วนเกิดรอยแตก และทำให้เกิดระเบิดขึ้นสองครั้งอย่างรวดเร็ว หลังคายางมะตอยของโรงไฟฟ้าเริ่มลุกไหม้ และที่น่าพรั่นพรึงกว่านั้นคือ แท่งแกรไฟต์ที่เป็นแกนของเครื่องปฏิกรณ์ก็ลุกไหม้ขึ้นเช่นเดียวกัน พวยควันหนาทึบและอนุภาคกัมมันตรังสีพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และเริ่มเคลื่อนตัวไปทางเหนือสู่เบลารุสและสแกนดิเนเวีย ภายในเวลาไม่กี่วัน ฝุ่นกัมมันตรังสีได้แพร่กระจายไปเกือบทั่วทั้งทวีปยุโรป
ตลอดทั้งคืน ทีมนักดับเพลิงและนักกู้ภัยต้องเผชิญกับภยันตรายที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ได้แก่ เปลวไฟ ควัน และแกรไฟต์ที่ลุกไหม้ สิ่งที่พวกเขาไม่อาจมองเห็นหรือรู้สึกได้กระทั่งหลายชั่วโมงหรือหลายวันต่อมา เมื่อเริ่มมีอาการเจ็บป่วยจากกัมมันตภาพรังสีหรือยาพิษที่มองไม่เห็น อันได้แก่ ไอโซโทปของธาตุซีเซียม ไอโอดีน สตรอนเชียม พลูโทเนียม ปริมาณการสัมผัสรังสีที่พวกเขาได้รับรวมแล้วมากเท่ากับ 16 ซีเวิร์ต ไม่ใช่ “ไมโคร” หรือ “มิลลิ” แต่เป็นทั้งซีเวิร์ตเต็มๆ ซึ่งเป็นรังสีปริมาณมหาศาลเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์คนหนึ่งจะทานทนได้ คนงานโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลกับครอบครัวยืนมองแสงไฟลุกโพลงจากระเบียงห้องบนตึกสูงในเมืองปรีเปียต ซึ่งอยู่ห่างออกไปสามกิโลเมตร
ในตอนเช้าสุดสัปดาห์ก่อนวันแรงงาน ชาวเมืองต่างออกไปทำกิจวัตรของตน ไม่ว่าจะจับจ่ายซื้อของ เข้าห้องเรียนตอนเช้าวันเสาร์ หรือปิกนิกในสวนสาธารณะ กระทั่งเวลาผ่านไปแล้ว 36 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุจึงเริ่มมีการอพยพผู้คนออกจากเมือง ชาวเมืองได้รับคำสั่งให้นำเสบียงติดตัวไปให้เพียงพอสำหรับเวลาสามถึงห้าวัน และให้ทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่า หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างรวดเร็วแล้ว พวกเขาจะได้กลับบ้านอีกครั้ง แต่นั่นไม่เคยเกิดขึ้น ทีมลิควิเดเตอร์หรือหน่วยเคลียร์พื้นที่เข้าปฏิบัติงานอย่างรวดเร็ว พวกเขาเริ่มไถตึกรามต่างๆ และกลบฝังดินชั้นบน สุนัขหลายฝูงถูกยิงตายเมื่อพบเห็น และมีการอพยพผู้คนจากหมู่บ้านเกือบ 200 แห่ง
ยอดผู้เสียชีวิตในทันทีมีจำนวนน้อยอย่างน่าประหลาดใจ คนงานสามคนเสียชีวิตระหว่างเกิดการระเบิด อีก 28 คน เสียชีวิตภายในหนึ่งปีจากพิษกัมมันตรังสี แต่ผลกระทบส่วนใหญ่ค่อยๆเผยโฉมออกมาอย่างช้าๆ จนถึงทุกวันนี้มีประชาชนประมาณ 6,000 คนที่สัมผัสรังสีในวัยเด็กจากการดื่มนมและอาหารอื่นๆ ที่ปนเปื้อนรังสีป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ เมื่อเทียบกับข้อมูลที่รวบรวมจากฮิโระชิมะและนะงะซะกิ อัตราการตายจากโรคมะเร็งโดยรวมของเชอร์โนบิลอาจเพิ่มขึ้นสองสามเปอร์เซ็นต์ในหมู่คนงานและชาวเมือง 600,000 คนที่ได้รับรังสีปริมาณสูงสุด และอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรหลายพันคน
หลังเกิดเหตุ มีการเร่งสร้างโครงสร้างคอนกรีตและเหล็กกล้าที่เรียกกันติดปากว่า “โลงศพศิลา” เพื่อครอบเครื่องปฏิกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย เมื่อโครงสร้างดังกล่าวเริ่มผุพังไปตามกาลเวลาและเกิดรอยรั่ว จึงมีการลงมือสร้างสิ่งที่ได้รับการตั้งชื่ออย่างมองโลกในแง่ดีว่า นิวเซฟคอนไฟน์เมนต์ (The New Safe Confinement: NSC) หรือเกราะหุ้มใหม่ โครงสร้างนี้เป็นหลังคาโค้งหนัก 32,000 ตันที่สร้างขึ้นบนรางเพื่อให้เคลื่อนเข้าที่ได้เมื่อประกอบแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปี 2017 ในระหว่างนี้ภารกิจทำความสะอาดยังคงดำเนินต่อไป รัฐบาลยูเครนวางแผนจะรื้อถอนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมด และทำความสะอาดที่เกิดเหตุให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2065
สิ่งที่ผมจดจำได้มากที่สุดระหว่างใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ที่ปรีเปียต คือเสียงและความรู้สึกของการเดินยํ่าไปบนเศษกระจก ผ่านไปตามแผนกต่าง ๆในโรงพยาบาลเก่าทรุดโทรมที่มีเตียงคนไข้กับเตียงเด็กอันว่างเปล่า และห้องผ่าตัดที่เกลื่อนกล่นไปด้วยขยะ เดินยํ่าไปบนกองหนังสือเก่าครํ่าคร่าตามทางเดินในโรงเรียน
อีกห้องหนึ่ง มีหน้ากากป้องกันแก๊สพิษห้อยลงมาจากเพดานและวางเป็นกองพะเนินอยู่บนพื้น มัคคุเทศก์ของเราบอกว่า เป็นไปได้ว่าเหล่า “นักสะกดรอย” หรือผู้ที่แอบเข้ามาในเขตกีดกัน เป็นผู้ทิ้งหน้ากากเหล่านี้ไว้ ในตอนแรกพวกเขาอาจเข้ามาเพื่อคุ้ยหาของจากกองขยะ และต่อมาก็เพื่อความตื่นเต้น คนเหล่านี้ดื่มนํ้าจากแม่นํ้าปรีเปียต ลงว่ายนํ้าในอ่าวปรีเปียต ท้าทายรังสีและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย นักสะกดรอยคนหนึ่งที่ผมพบในเวลาต่อมาที่กรุงเคียฟเล่าว่า เขาเข้าไปที่เชอร์โนบิลร่วมร้อยครั้งแล้ว “ผมนึกจินตนาการว่าเขตกีดกันนี่ต้องกว้างใหญ่ไพศาล ถูกทำลายย่อยยับ ว่างเปล่า แล้วก็น่าสยดสยองมาก” แต่สิ่งที่เขาพบเห็นกลับเป็นป่าไม้และแม่นํ้า ทั้งหมดนี้คือความงดงามที่ปนเปื้อน
คณะทัวร์ของเราเดินไปตามขอบสระว่ายนํ้าสาธารณะอันแห้งผาก พื้นโรงยิมที่ผุกร่อน และตึกแล้วตึกเล่าที่ล้วนทรุดโทรมผุพังไปตามกาลเวลาและจากการถูกทิ้งร้าง เราแวะชมซากปรักของศูนย์วัฒนธรรม พลางนึกจินตนาการถึงเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะที่เคยทำให้สถานที่แห่งนี้ เปี่ยมชีวิตชีวา และแวะไปที่สวนสนุกเล็กๆ ที่มีชิงช้าสวรรค์สีเหลือง พวกเราเดินขึ้นบันได 16 ขั้น ยํ่าไปบนเศษกระจกแตกๆ ไปจนถึงชั้นบนสุดของอพาร์ตเมนต์ที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ราวบันไดเหล็กถูกถอดออกเพื่อการกู้ภัย ประตูหลายบานที่ถูกชะแลงงัดเปิดออกสู่ช่องลิฟต์โล่งๆ
จากบนหลังคา เรามองออกไปยังสิ่งที่เคยยิ่งใหญ่ ถนนสายหลักที่มีต้นไม้ขนาบสองข้างและสวนสาธารณะที่ได้รับการออกแบบภูมิทัศน์เป็นอย่างดี ทว่าบัดนี้กลับรกชัฏ เมืองปรีเปียตที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องในฐานะเมืองต้นแบบของโซเวียต เป็นสวรรค์ของคนงาน กำลังถูกผืนดินกลืนกินและกลบฝังอย่างช้าๆ
เราใช้เวลาของค่ำคืนนั้นในตัวเมืองเชอร์โนบิล เมืองที่เก่าแก่กว่าปรีเปียตถึง 800 ปี แต่ปัจจุบันดูเหมือนค่ายทหารยุคสงครามเย็น เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของปฏิบัติการทำความสะอาดที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ห้องพักในโรงแรมของผมกับเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ดูราวกับฉากแสดงภาพชีวิตยุคโซเวียตที่พบเห็นในพิพิธภัณฑ์ ระดับรังสีในห้องของผมไม่ได้มากไปกว่าที่วัดได้ที่บ้านเลย
พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราก็แทบไม่เหลือความกังวลเรื่องความเสี่ยงของการสัมผัสรังสี ขณะยืนอยู่ใต้ซากของหอหล่อเย็นแห่งหนึ่ง มัคคุเทศก์ก็เร่งพวกเราและร้องตะโกนว่า “นี่ๆ จุดที่มีรังสีสูงอยู่ทางนี้! ไปดูกันเถอะ!” เธอยกไม้กระดานที่ปิดบริเวณที่มีรังสีสูงขึ้นมา แล้วพวกเราก็ก้มลงไปพลางถือมาตรวัดรังสีที่ส่งเสียงดังเป็นบ้าเป็นหลังแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะวัดได้สูงที่สุด เครื่องของผมอ่านค่าได้ 112 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง หรือสูงเป็น 30 เท่าจากที่วัดได้ตอนอยู่บนเครื่องบิน พวกเราอยู่ที่นั่นกันเพียงนาทีเดียวเท่านั้น
จุดที่วัดรังสีได้สูงสุดในวันนั้นคือบริเวณใบตักสนิมเขรอะของรถไถดินที่ไถกลบดินชั้นบนที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสี เราวัดค่าได้ 186 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง สูงเกินกว่าจะอ้อยอิ่งอยู่แถวนั้น แต่ยังเทียบไม่ได้เลยกับปริมาณที่นักดับเพลิงและเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่ผู้น่าสงสารได้รับในคืนนั้น ระหว่างนั่งรถกลับกรุงเคียฟ มัคคุเทศก์รวมค่าปริมาณรังสีสะสมของพวกเราได้เท่ากับสิบไมโครซีเวิร์ตตลอดช่วงสุดสัปดาห์ของเราในเชอร์โนบิล
เผลอๆ ผมอาจได้รับรังสีปริมาณมากกว่านั้นระหว่าง บินกลับบ้านก็เป็นได้
เรื่อง จอร์จ จอห์นสัน
ภาพ เกิร์ด ลุดวิก
บทความที่เกี่ยวข้อง
- รถถัง Leopard 2 จุดเปลี่ยน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กำลังจะครบรอบ 1 ปี
- ยูเครน และรัสเซีย : ประวัติศาสตร์พันปีแห่งความผูกพันและความขัดแย้ง
- หายนะโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซาโปริซเซีย ในยูเครน – ทางออกคือยุติสงคราม
เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนตุลาคม 2557