เมื่อเส้นทางถูกกีดขวางด้วยหมู่แท่งหินปลายแหลม มาร์กหันหลังกลับลงมาจากสันเขาซึ่งเป็นเส้นทางนำไปสู่ยอดห่มหิมะของ ยอดเขาคากาโบราซี หากจะไปต่อ คณะนักปีนเขาต้องค้างแรมโดยไม่มีอาหาร เต็นท์ หรือถุงนอน “เราคงสูญเสียนิ้วมือนิ้วเท้ากันแน่ๆ ถ้าไม่ถึงกับเอาชีวิตไปทิ้ง” คอรีกล่าว
ยอดเขาคากาโบราซี ขุนเขาสูงเสียดฟ้าแห่งอุษาคเนย์
“เราไปผจญภัยกันแบบรุ่นเก๋ากันเถอะ” ฮิลารีเอ่ยขึ้น “ไปสำรวจที่ไหนสักแห่งที่รกร้างห่างไกลและไม่มีใครรู้จัก” ตอนนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิปี 2012 และเราอยู่ระหว่างปีนลงจากเมานต์เอเวอเรสต์ ฮิลารีเป็นผู้หญิงแกร่งที่สุดที่ผมเคยเจอ หลังพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์สำเร็จ เธอก็ไปปีนเขาโลตเซที่อยู่ติดกัน ทั้งๆ ที่เอ็นยึดข้อเท้าข้างหนึ่งยังฉีกขาดอยู่สองจุด
เรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง เราทั้งคู่รักภูเขามาตั้งแต่เด็กๆ แต่งงานมีลูกแล้วสองคนเหมือนกัน และต่างพยายามหาทางจัดการชีวิตครอบครัวกับการปีนเขาให้สมดุลลงตัว เราเสื่อมศรัทธาในความเป็นธุรกิจและคลื่นมนุษย์บนเอเวอเรสต์ และอยากหวนคืนสู่สิ่งที่ดึงดูดให้เราเป็นนักปีนเขาตั้งแต่แรก
แต่การเสาะหาสถานที่อันรกร้างห่างไกลอย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย เครื่องบินพาเราไปได้ถึงขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ คุณสามารถขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปลงที่เบสแคมป์ของเอเวอเรสต์ ลงเรือท่องเที่ยวล่องแม่น้ำไนล์หรือ แอมะซอนก็ยังได้ สถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างแท้จริง เป็นที่ที่ต้องใช้เวลาเดินเท้าหลายวันหรือกระทั่งหลายอาทิตย์เพียงเพื่อไปถึงนั้น แทบสูญสิ้นไปจากโลกแล้ว
กระนั้น ผมก็ยังรู้จักอยู่ที่หนึ่ง แต่ความที่เคยมีความหลังกับภูเขาลูกนี้ ผมจึงลังเลที่จะพูดอะไรออกไป แต่ท้ายที่สุด หลังเสนอความคิดกันไปมา ความปรารถนาอันแรงกล้าของผมก็มีชัยเหนือความลังเล “นี่ไหมละ” ผมอึกอัก “ยอดเขาคากาโบราซี”
คากาโบราซี (Hkakabo Razi) นั้นว่ากันว่าเป็นยอดเขาสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเทือกเขาหินสีดำสลับธารน้ำแข็งขาวโพลนที่ทะยานขึ้นจากป่าดงดิบเขียวขจีและร้อนชื้นทางภาคเหนือของเมียนมาร์ คากาโบราซีตั้งอยู่ติดกับแนวขอบเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันออกบนพรมแดนติดกับทิเบต และได้รับการบันทึกความสูงเป็นครั้งแรกในรายงานการสำรวจของอังกฤษที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1925 ว่ามีความสูง 5,881 เมตร ยอดเขาแห่งนี้นับว่ารกร้างห่างไกลเสียจนมีนักปีนเขาเพียงไม่กี่คนที่เคยได้ยินชื่อแม้กระทั่งในปัจจุบัน การเดินทางไปยังภูเขาลูกนี้ต้องเดินเท้าสองอาทิตย์ผ่านป่าดิบที่คั่นด้วยโกรกธารลึกล้น และเป็นแหล่งอาศัยของงูพิษสารพัดชนิด ฮิลารีสนใจทันที เราวางแผนการสำรวจตั้งแต่ก่อนออกจากกาฐมาณฑุเสียด้วยซ้ำ
ลำพังแค่ฝ่าฟันไปให้ถึงเชิงเขาคากาโบราซีก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนแล้ว สิ่งที่ฮิลารีกับผมโหยหาตอนอยู่บนลาดเขาของเอเวอเรสต์ ความรกร้างห่างไกลนั่นเองที่กลับกลายเป็นอุปสรรคคุกคามการสำรวจของเราตั้งแต่เริ่มต้น
อันดับแรก เราต้องเดินทางรอนแรมข้ามครึ่งค่อนประเทศเมียนมาร์ จากกรุงย่างกุ้งเรานั่งรถโดยสารข้ามคืนไปยังพุกาม จากนั้นก็ล่องเรือขึ้นไปตามแม่น้ำอิรวดีสู่มัณฑะเลย์ เพื่อต่อรถไฟที่โยกคลอนและกระเด้งกระดอนราวกับพร้อมจะตกรางได้ตลอดเวลา ที่เมืองมิตจีนาเราขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับผู้โดยสารคนหนึ่งที่ขอเช็คอินปืนอาก้า กระบอกหนึ่งเป็นกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง หลังไปถึงปูตาโอ เมืองทางเหนือสุดของรัฐคะฉิ่น เราเสียเวลาไปห้าวันอยู่ในฐานะเหมือน “ถูกจับกุม” ระหว่างที่ใบอนุญาตปีนเขาของพวกเราถูกตีกลับไปมาระหว่างเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ท้ายที่สุดเราก็จัดข้าวของสัมภาระขึ้นคาราวานมอเตอร์ไซค์ แล้วเริ่มต้นการเดินทางที่ใช้เวลานานสามวัน ตะบึงข้ามลำธาร เร่งเครื่องล้อหมุนติ้วฝ่าโคลนตม จนกระทั่งเส้นทางสามารถไปต่อได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น
จากนั้นการเดินป่า 243 กิโลเมตรไปยังตีนเขาคากาโบผ่านป่าดิบมืดครึ้มและชื้นแฉะก็เปิดฉากขึ้น เรือนยอดไม้ดกหนาทอแสงสีเขียวจางๆ ลงมา เราเดินไปตามเส้นทางที่ดูเหมือนอุโมงค์นี้อยู่สองอาทิตย์เต็มๆ บ่อยครั้งที่เส้นทางลาดชันขึ้น หรือไม่ก็ดิ่งลงอย่างฉับพลัน เราผ่านหมู่บ้านโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งไปสู่อีกแห่งหนึ่ง
หลังจาก 39 วันของการลงเรือ ขึ้นรถไฟ เผชิญงูและทาก หลังปีนป่ายอย่างยากเย็นขึ้นมาตามผาชันของสันเขาฝั่งตะวันตกของคากาโบ วันนี้เป็นวันปีนสู่ยอดเขา เราผลัดกันซดชาควันฉุยคนละอึกสองอึกจนหมดหม้อ จากนั้นก็คลานออกจากเต็นท์อย่างลังเลมาเผชิญกับลมกรรโชก ละอองหิมะลอยฟุ้งหมุนวนรอบตัวเรา ดวงอาทิตย์ดูเหมือน ลูกบอลเยียบเย็นลอยอยู่ไกลๆ เราล็อกตะปูพื้นรองเท้าเข้ากับรองเท้าส่งเสียงดังคลิก ผูกโยงตัวกันไว้ด้วยเชือก แล้วก็เริ่มออกปีน เท้ากับนิ้วเราชาดิก แต่การได้เคลื่อนไหวย่อมดีกว่านั่งสั่นอยู่ในเต็นท์ เลือดเราเริ่มสูบฉีด ความอบอุ่นค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างกาย
เราไต่ข้ามยอดหินสูงใหญ่ยอดแรกไปด้วยกัน ทั้งสองฟากฝั่งลึกลงไปมากกว่าหนึ่งกิโลเมตร คือทะเลหมอก ถ้าเราคนใดคนหนึ่งเกิดลื่นตกจากสันเขา วิธีเดียวที่จะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ก็คือ คนปีนที่อยู่ถัดไปจะต้องรีบกระโดดพุ่งหลาวไปทางฟากตรงข้าม โดยทั้งคู่ต้องภาวนาขอให้ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น เชือกที่ผูกโยงกันไว้จะไม่ตกไปพาดบนหินที่คมเหมือนใบมีดจนถูกตัดขาด นี่คือความลึกล้ำของความไว้เนื้อเชื่อใจที่ต้องมีในการปีนเขา เป็นหนทางสู่การก้าวพ้นตนเองและร้อยรัดตัวคุณเข้ากับสหายร่วมปีนเขา นี่คือเหตุผลที่เรามาปีนเขากัน
เรื่อง มาร์ก เจนกินส์
ภาพ คอรี ริชาร์ดส์
อ่านเพิ่มเติม