เกาสง เมืองท่าอุตสาหกรรมที่ทำถึงหัวใจผู้คน

เกาสง เมืองท่าอุตสาหกรรมที่ทำถึงหัวใจผู้คน

[BRANDED CONTENT FOR TAIWAN TOURISM]

เส้นทางท่องเที่ยวกับแคมเปญ “Explore Southern Taiwan Where Nature Meets Culture” เราเดินทางจากไถหนานมาถึงเมืองเกาสง (Kaohsiung) เมืองที่เราตกหลุมรักตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน การเดินทางที่สะดวกง่ายดาย ด้วยขนส่งมวลชนหลายรูปแบบ และพื้นที่สาธารณะที่เหมาะสมสำหรับทุกเพศทุกวัย การเยือนเกาสงในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และทำให้รู้สึกดีใจที่จะได้สำรวจเมืองนี้อีกครั้งหลังจากที่เคยมาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแม้จะเป็นเพียง 1 วันในเกาสง แต่ก็ทำให้เราจดจำเมืองนี้ไม่มีลืม ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีแผนไปไต้หวัน เราเชียร์สุดใจเลยว่าต้องหาเวลาไปเกาสงให้ได้

เกาสงเป็นเมืองใหญ่ซึ่งมีมิติหลากหลาย ทั้งเทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ และพิพิธภัณฑ์ที่โดดเด่น รวมตัวอยู่มากมาย ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะ ความเป็นธรรมชาติก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนภูเขาที่เป็นอุทยานแห่งชาติ แต่ยังมีสวนสาธารณะหลายแห่งไปจนถึงพื้นที่ชุ่มน้ำกลางเมือง สร้างสมดุลให้กับการอยู่อาศัยที่ดี เต็มไปด้วยคุณภาพและความสุขที่ยั่งยืน

พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Science and Technology Museum)

พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  แหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน ซึ่งผสมผสานการนำเสนอด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมอย่างลงตัว มีห้องนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียนในพื้นที่ขนาดใหญ่

ทางเข้าหลักต้อนรับเราด้วยประติมากรรมมังกร 2 ตัว ชู Armillary Sphere หรืออุปกรณ์ดาราศาสตร์ยุคแรกที่จำลองวงกลมใหญ่ที่สุดให้เป็นท้องฟ้าและมีเส้นวงต่าง  ๆ แทนเส้นขอบฟ้า เส้นศูนย์สูตร และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สื่อความหมายถึงโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันหลากหลาย

เราเลือกไปชม 3 นิทรรศการถาวร  คือ Industrial History of Taiwan, Space Exploration Hall และ Climate Change Hall

  • Industrial History of Taiwan

นิทรรศการประวัติศาสตร์และพัฒนาการอุตสาหกรรมของไต้หวัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยเล่าเรื่องผ่านคอลเลกชั่นวัตถุจัดแสดงจริงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งร้อยเรื่องราวออกมาอย่างน่าสนใจ พาเราย้อนไปดูวิธีคิด สภาพแวดล้อม อิทธิพลทางการเมือง และความท้าทายต่าง ๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน นอกจากการผลิตของไต้หวัน เช่น อาหารแปรรูป สิ่งทอ จักรยาน จนมาถึงชิปอัจฉริยะ ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้แล้ว ยังมีการเตรียมเทคโนโลยีให้พร้อมสู่อนาคตอีกด้วย

เราเดินทางไปกับสินค้าที่เราอาจไม่เคยรู้ว่าไต้หวันเคยเป็นเจ้าแห่งการผลิตระดับโลก เช่น เคยเป็นแหล่งผลิตอาหารกระป๋องที่สำคัญ มีการคิดค้นนวัตกรรมสิ่งทอที่มีคุณภาพ เคยเป็นเจ้าแห่งการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม้เทนนิส ไปจนถึงจักรยาน เป็นอุตสาหกรรมหลักโดยมี Giant เป็นบริษัทผลิตจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มีเรื่องราวที่เราสนใจเป็นพิเศษ และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมของไต้หวัน นั่นคือแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ภาคกลางของไต้หวันในปี 1999 ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในเมืองหนานโถวและไถจง ที่ประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน ระบบขนส่งล้มเหลว และซัพพลายเชนต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ ทำให้การดำเนินอุตสาหกรรมหนักเป็นไปได้ยาก

ช่วงเวลานั้น เมืองไถจง เป็นแหล่งผลิตชิปและชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่หลายรายทั่วโลก พอเกิดแผ่นดินไหว อุตสาหกรรมไอทีก็ชะงักงัน จึงได้มีการปรับเปลี่ยนสถานการณ์ย้ายฐานการผลิตที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองไถจง มายังเกาสงที่ความเสี่ยงต่ำกว่า พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านจากไม่เพียงเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ สู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์และชิปอัจฉริยะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้ raw material น้อยกว่า สามารถควบคุมเรื่องโลจิสติกส์ ซัพพลายเชนต่าง ๆ ได้ดีกว่า หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ก็สามารถบริหารจัดการได้ดีกว่าอุตสาหกรรมหนัก จากชิปอัจฉริยะสู่การผลิตคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงสมาร์ทโฟน เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ที่ตอบรับกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุค dot- com จนถึง AI และแน่นอน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ไต้หวันพัฒนาการเตรียมรับมือกับแผ่นดินไหว ตั้งแต่กฎหมายการก่อสร้างที่ต้องรองรับการเกิดแผ่นดินไหวไปจนถึงการให้ความรู้เพื่อเตรียมพร้อมพลเมืองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน

นิทรรศการถูกออกแบบมาอย่างดี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกมีประสบการณ์ที่ดีและเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากเรียงวัตถุจัดแสดงไปตามยุคสมัยแล้ว ยังออกแบบให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วม ลองสัมผัสจริง เช่น ไม้เทนนิส ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาจนมาเป็นไม้ประสิทธิภาพดี มีน้ำหนักเบาให้เราลองถือจริง หรือการออกแบบที่ใช้ Interactive เข้ามาในหลายจุด นิทรรศการนี้มีเรื่องราวเยอะมาก ขอยก Fun Fact บางส่วนจากนิทรรศการนี้มาเล่าให้ฟัง

  • เจ้าแห่งการส่งออกอาหารกระป๋อง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ที่ขาดแคลนจากผลกระทบของสงคราม ไต้หวันเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสินค้าอุปโภคบริโภคภายใน และเน้นการส่งออกเพื่อนำรายได้มาพัฒนาเศรษฐกิจ การเกษตรแต่ดั้งเดิมก็ปรับสู่การเกษตรเพื่ออุตสาหกรรม พืชเศรษฐกิจอย่างสับปะรด หน่อไม้ฝรั่ง และเห็ดที่แปรรูปบรรจุกระป๋อง ได้รับความนิยม

และเป็นสินค้าส่งออกสำคัญในช่วงนั้นเอง

  • พัดลมแบรนด์ Tatung เคยเป็นของหรูหราที่นิยมมอบเป็นของขวัญแต่งงาน

ในช่วงปี 1940s แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า Tatung ได้ผลิตสินค้าออกมาหลากหลาย โทรทัศน์คือสินค้าอันดับหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือพัดลมไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าราคาแพงมาก ปีแรกผลิตมาได้เพียง 30 ตัวเท่านั้น ในวัสดุการผลิตพัดลมยังมีส่วนผสมของทองคำจริง ๆ ราคาพัดลมยังแพงกว่าเงินเดือนของแรงงานทั่วไป ใครสนใจสั่งต้องรอนานกันเป็นปีเลยทีเดียว

  • กว่า 90% แร็กเก็ตเทนนิสของนักกีฬาระดับโลกผลิตที่ไต้หวัน

ไต้หวันเป็นแหล่งผลิตแร็กเก็ตเทนนิสคุณภาพสูงที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ครองส่วนแบ่งตลาดของแร็กเก็ตเทนนิสกว่า 90% ทั่วโลก สามารถสร้างรายได้ถึง 100,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปี

  • Space Exploration Hall

นิทรรศการสร้างแรงบันดาลใจด้านอวกาศและการบินให้แก่เด็ก ๆ และทุกคนที่สนใจ จากประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ใฝ่ฝันการเดินทางบนท้องฟ้าไปจนถึงการสำรวจนอกโลก เริ่มต้นนิทรรศการที่เส้นทางจำลองการเดินทางสู่อวกาศ ผ่านชีวิตประจำวันของนักบินอวกาศในสเปซแคปซูล ไปสู่นิทรรศการที่พาไปทำความรู้จักระบบสุริยะจักรวาล ดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมต่างกัน รวมถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวกับอากาศยานแทบทุกประเภท ตั้งแต่เครื่องบิน ดาวเทียม จรวด ไปจนถึงยานอวกาศ

ไม่เพียงแต่จัดแสดงความรู้ให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจ แต่ยังมีเกมให้เล่นเกือบทุกจุด ไม่ใช่เกมตอบคำถามที่ซับซ้อน แต่เป็นเกมที่หยิบเอาสาระสำคัญหลัก ๆ มาออกแบบเป็นมัลติมีเดียพร้อมภาพล้ำ ๆ ให้โต้ตอบกันได้ เช่น เกมลองให้กดปุ่มปล่อยจรวด ลองบังคับยานอวกาศลงจอด การจำลองแรงโน้มถ่วงบนดวงดาวต่าง ๆ หรือเกมที่ทำให้เข้าใจหลักการทางฟิสิกส์ด้วยการทดลองสนุก ๆ

ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานสำคัญหากสนใจอาชีพด้านอวกาศ เมื่อเด็ก ๆ เกิดความรัก ความหลงใหลในเรื่องอวกาศ พื้นที่นี้จึงถูกจำลองมาให้เด็ก ๆ ได้มีประสบการณ์การสำรวจอวกาศที่ทั้งสนุกและน่าตื่นตาตื่นใจ

  • Climate Change Hall

เราอยู่ในยุคโลกเดือดแล้ว จะมองข้ามนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ต้องสื่อสารกับคนทุกวัย และเมื่ออนาคตอยู่ในมือคนรุ่นใหม่ ด้วยนิทรรศการที่ออกแบบให้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ทำให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้เรื่องราวของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก

วิธีเล่าเรื่องเน้นการตั้งคำถามที่ชวนให้ฉุกคิด เช่น ภัยพิบัติที่เราประสบกันเกิดตามธรรมชาติ หรือเป็นผลที่ตามมาจากกิจกรรมมนุษย์ แยกแยะนิยามพื้นฐานสำคัญ อย่างสภาพภูมิอากาศกับอากาศต่างกันอย่างไร โลกเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร หากอุณหภูมิสูงขึ้นไม่กี่องศาเซลเซียส การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสุดขั้วเป็นอย่างไร จะมีผลกระทบกับโลกและไต้หวันอย่างไร 

เนื้อหานี้จริงจังทีเดียว แต่นิทรรศการที่ได้รับรางวัลด้านการออกแบบนี้ ไม่ได้ใส่ข้อมูลให้อ่านรัว ๆ อย่างเดียว แต่ใช้มัลติมีเดียที่โต้ตอบกับผู้ชม ชวนให้เล่น ชวนให้วางมือไปกดตรงนั้น แตะตรงนี้แล้วเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าไม่ได้เล่าแต่ปัญหา แต่มีทางออกให้ด้วย เช่นตัวอย่างขององค์กรและผู้คนที่ลงมือทำเพื่อลดผลกระทบต่อโลก ตั้งแต่เทคโนโลยีพลังงานสะอาด ฟาร์มหอยนางรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ เห็นภาพว่าพวกเขาสามารถทำเพื่อโลกของเราได้ในหลายระดับ ฟังดูซีเรียสอีกแล้ว แต่ถ้าเด็ก ๆ ตั้งใจเรียนรู้ในทุกสเตชั่น เขาก็สามารถสะสมแต้มเอาไว้ไปปั่นรถรางที่เคลื่อนที่ได้ด้วยแรงขาของเขาเอง และนี่คือความตั้งใจสร้างประสบการณ์ของการลงมือทำเพื่อโลกในทุกจุด

ท่าเรือรุ่งโรจน์ (Glory Pier)

ขอมอบคะแนน 10 เต็ม 10 ให้กับ Glory Pier ในทุกแง่มุม ทั้งความงดงามของแลนด์สเคป สถาปัตยกรรมดีไซน์ล้ำ การออกแบบเพื่อมวลชน (Universal design) พร้อมบรรยากาศที่สร้างความสุขและความเพลิดเพลิน

ท่าเรือแห่งนี้ตั้งอยู่ในปากอ่าวแม่น้ำแห่งความรัก (Love river) เดิมทีเป็นท่าเรือของกองทัพเรือไต้หวัน ที่ใช้สำหรับกิจกรรมทางการทหารรวมถึงเป็นท่าเรือขนส่งสินค้า จนกระทั่งศตวรรษที่ 21 ได้มีการพัฒนาท่าเรือแห่งนี้ให้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยว บนลานกว้างมีการจัดกิจกรรมดนตรีและศิลปะสม่ำเสมอ ทั้งยังเป็นจุดจอดเรือยอร์ช และเรือให้เช่าขับดีไซน์เก๋ อย่างเรือซุปเปอร์คาร์ ที่หากเราขับเรือเป็น ก็อยากลองเช่าขับสักครั้ง

โกดังท่าเรือรักษาโครงสร้างภายนอกเดิมที่ดูแข็งแกร่งและมีสไตล์เอาไว้ ด้านในใช้ประโยชน์ได้ ส่วนด้านบนยังทำเป็นเนินหญ้าให้เดินขึ้นไปชมวิวจากมุมสูง มีแลนด์มาร์คเป็นอาคาร Kaohsiung Music Center ดีไซน์สะดุดตาที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ถ่ายรูปได้สวยทุกมุม

พวกเราตั้งใจมาในช่วงเย็น แค่ชมวิวถ่ายรูปก็สามารถอยู่ได้เป็นชั่วโมง ๆ เราเห็นผู้คนมาวิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน พาสุนัขมาเดินเล่น เข็นรถเข็นพาผู้สูงอายุออกมาใช้เวลาร่วมกันบริเวณเลียบท่าเรือ ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในเกาสง ทุกองค์ประกอบรวมกันทำให้เราตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย เป็นสถานที่ที่เราอยากให้ทุกคนได้มาจริง ๆ

การเดินทางก็สะดวกง่ายดาย มีรถสาธารณะหลายรูปแบบ หรือจะเช่า YouBike ปั่นเลียบแม่น้ำแห่งความรักจากใจกลางเมืองก็ได้ แต่อยากแนะนำให้ลองนั่งรถรางมา เพราะว่าปีที่แล้วเราได้นั่งรถรางเที่ยวในเกาสง สะดวกมาก แถมยังเป็นรถรางที่ออกแบบไว้อย่างสวยงาม ปลูกหญ้าเขียวไว้ระหว่างราง เป็นรายละเอียดที่น่าประทับใจมาก สะท้อนความใส่ใจของผู้บริหารเมือง

อุทยานแห่งชาติโซ่วซาน (Shoushan National Nature Park) 

อุทยานแห่งชาติโซ่วซาน อยู่บนภูเขาทางทิศตะวันตกของเมือง ด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านหนึ่งติดเมือง จึงเป็นเหมือนภูเขาหลังบ้าน ที่ชาวเมืองอยากมาเดินป่าเมื่อไหร่ก็มาได้ง่าย ๆ แถมยังมีความชันน้อยเดินสบายบนทางเท้าที่ทำไว้อย่างเรียบร้อย

ทางเดินคอนกรีตสลับกับสะพานไม้ยังคงความเป็นธรรมชาติแท้ ๆ เอาไว้ด้วยป่าไม้เขียวครึ้ม และเป็นบ้านของสัตว์ป่าหลากชนิดพันธุ์ โดยเฉพาะลิง จนได้ฉายาว่า “ภูเขาลิง” ลิงเหล่านี้เป็นสัตว์ป่าที่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว การจับต้อง ทำร้าย และให้อาหารลิงเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่แล้ว แต่ที่เราห้ามไม่ได้คือเหล่าลิงที่จ้องจะ “เล่น” กับเราต่างหาก ระวังหมวก แว่นตา และขวดน้ำสีสวย ๆ ให้ดี เผลอแป๊บเดียวอาจจะไปอยู่ในมือเจ้าลิงโดยไม่รู้ตัว

เส้นทางเดินป่าที่นี่มีให้เลือกมากมาย เราแวะที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวขอแผนที่เดินป่าก่อนเลือกจุดชมวิวที่อยากไป มีเส้นทางเดินป่าตั้งแต่หลักร้อยเมตรไปจนถึง 6 กิโลเมตร จะเดินระยะสั้นหรือยาวก็มีจุดไฮไลต์ให้ชมวิวไปเรื่อย ๆ มีสวนสัตว์อยู่ติดกับทางเดินป่า ทำให้เราได้ยินเสียงนกแปลก ๆ สามารถแวะดูพวกมันผ่านแผงกรงกั้นระหว่างป่ากับสวนสัตว์ได้ด้วย

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ที่ไต้หวันเปิดท่าเรือทำการค้ากับต่างชาติ เช่น อังกฤษ ซึ่งไม่ได้เข้ามาตั้งเพียงหอการค้า โดยในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษหลายคนเดินทางมายังไต้หวัน และธรรมชาติบนภูเขาโซ่วซานก็ดึงดูดความสนใจพวกเขา ทั้งทางธรณีวิทยา พฤกษศาสตร์ และสัตววิทยา เพราะที่นี่เป็นระบบนิเวศเขตร้อนที่หลากหลายและมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นจำนวนมาก เป็นจุดสำคัญที่นักธรรมชาติวิทยาในยุคนั้นใช้เป็นสถานที่เก็บตัวอย่างพันธุ์พืชและสัตว์ แล้วส่งกลับไปยังพิพิธภัณฑ์และมหาวิทยาลัยในอังกฤษเพื่อนำไปศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์ทางการศึกษาและการกำหนดเขตให้เป็นอุทยานแห่งชาติในเวลาต่อมา

หากจะเดินไปถึงยอดเขาที่จะเห็นวิวท่าเรือเกาสง ต้องเดินเป็นระยะทางยาว 6 กิโลเมตร พวกเราหลายคนขอออมแรงเอาไว้ไปเที่ยวต่อ จึงเลือกเดินในเส้นทางสู่ป้อมหลงเหมินและป้อมกวนหลิน ระยะทางไป (ไม่รวมกลับ) เพียง 1 กิโลเมตรนิด ๆ เส้นทางเริ่มต้นด้วยทางคอนกรีตไปสู่ทางธรรมชาติ ระหว่างชมนกชมไม้ ก็ไม่ลืมสังเกตลักษณะหินที่มีรูพรุนตามคุณสมบัติทางธรณีวิทยาของปะการังที่ดันตัวขึ้นเป็นภูเขา เราสามารถพบหินเขาแบบนี้ได้อีกหลายแห่งในไต้หวัน 

ที่จุดชมวิวตรงป้อมกวนหลินมองไปเห็นเมืองเกาสง แม้สายวันนั้นจะมีหมอกลงปกคลุมเมือง ก็ยังเห็นเมืองได้ชัดเจน อดดีใจไม่ได้ที่มองลงไปเห็นพื้นที่ชุ่มน้ำจงตู (Kaohsiung Jhongdou Wetlands Park) ที่เคยไปเมื่อปีที่แล้ว การมองเมืองจากมุมสูงยิ่งทำให้เราเห็นว่าเกาสงเป็นเมืองอันทันสมัยแต่ยังแทรกไว้ด้วยพื้นที่ธรรมชาติ เพื่อรักษาความหลากหลายของระบบนิเวศไปพร้อมกับความก้าวหน้าของเมือง

อนุสรณ์พุทธสถานฝอกวงซาน (Fo Guang Shan Buddha Museum) 

หลังจากได้เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีและพาตัวเองไปสัมผัสธรรมชาติแล้ว ชานเมืองเกาสงยังมีสถานที่ทางวัฒนธรรมที่สำคัญอีกแห่ง คือ อนุสรณ์พุทธสถานฝอกวงซาน (Fo Guang Shan Buddha Museum) แหล่งเรียนรู้คำสอนพุทธศาสนามหายานและศิลปวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งมีเนื้อที่รวมมากกว่า 600 ไร่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองสำริดปางนั่งองค์สูงที่สุดในโลก ท่ามกลางภูมิสถาปัตยกรรมซึ่งสื่อสัญลักษณ์ทางพุทธศิลป์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมยอดนิยม

การได้มาสักการะพระพุทธรูปองค์ใหญ่คือจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เราตั้งต้นที่ทางเข้าหลัก ก่อนพากันเดินไปบน Great Path to Buddhahood เส้นทางเดินหลักไปสู่อาคารที่ตั้งพระพุทธรูปใหญ่ ซึ่งมีเจดีย์ 8 องค์ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางนี้

ด้านในอาคารยังมีห้องพิพิธภัณฑ์พุทธศาสนา ซึ่งบอกเล่าประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงนิกายมหายาน มีหอพระพุทธรูปหยก (Jade Buddha Shrine) ประดิษฐานพระพุทธรูปหยกขาวและพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว เราเห็นผู้มาเยือนหลายคนนั่งนิ่ง ๆ อยู่พักใหญ่ อาจตั้งจิตอธิษฐานหรือเจริญสติสงบใจ หอพระแห่งนี้ดูเหมือนจะออกแบบมาเพื่อการนั้นด้วย 

กราบพระพุทธรูปหยกแล้ว พวกเราก็เดินขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระศากยมุนีปางแสดงธรรม หัตถ์ขวาจีบนิ้วกลางชนกับนิ้วโป้งเป็นวง แสดงสัญลักษณ์ของธรรมจักรหรือกงล้อแห่งธรรม หัตถ์ซ้ายเปิดออกวางที่หน้าตัก สื่อถึงการเผยแพร่ปัญญาและศาสนา

พุทธสถานฝอกวงซานมีสายสัมพันธ์อันดีกับสถาบันพุทธศาสนาของไทย มีกิจกรรมเผยแพร่ศาสนาร่วมกันมานานหลายปี และในประเทศไทยก็มีวัดฝอกวงซาน ตั้งอยู่ในเขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ซึ่งมีความงดงามไม่แพ้กัน

เกาสงไม่ใช่แค่เมืองท่าที่สวยงาม แต่เป็นเมืองที่รวมองค์ประกอบของการดำเนินชีวิต ซึ่งสัมผัสได้ผ่านการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ การใช้เวลาในพื้นที่สาธารณะของเมืองที่ออกแบบโดยคิดถึงผู้คนเป็นหลัก หรือไปเดินป่าท่ามกลางธรรมชาติ ซึมซับวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง เกาสงยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายที่รอให้คุณได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง


อ่านเพิ่มเติม ไถหนาน เมืองวัฒนธรรมหลากยุค จากอดีตสู่สีสันร่วมสมัย

Recommend