ยอดมนุษย์ เหนือมนุษย์

ยอดมนุษย์ เหนือมนุษย์

เรื่อง ดี. ที. แมกซ์
ภาพประกอบ โอเวน ฟรีแมน

ตอนที่ผมพบกับไซบอร์ก นีล ฮาร์บิสสัน ที่บาร์เซโลนา เขาดูไม่ต่างจากฮิปสเตอร์ทั่วไปในเมืองนั้น เพียงแต่เขามีเสาอากาศสีดำที่โค้งงอออกมาจากด้านหลังของกะโหลกศีรษะเหนือผมทรงกะลาครอบสีทอง

ฮาร์บิสสันวัย 34 ปี เกิดที่เมืองเบลฟัสต์ ไอร์แลนด์เหนือ และเติบโตขึ้นในสเปน เขามีความผิดปกติที่พบได้น้อยมากเรียกว่า ภาวะตาบอดสีทุกสี หรือภาวะสูญเสียการระลึกรู้สี (acromatopsia)  ซึ่งแปลว่า  เขาไม่สามารถรับรู้สีได้ แต่เสาอากาศ ซึ่งมีส่วนปลายเป็นตัวรับของเส้นใยนำแสง (เซนเซอร์ไฟเบอร์ออปติก) อยู่เหนือดวงตาของเขาพอดี ช่วยให้ฮาร์บิสสันรับรู้สีได้

ฮาร์บิสสันไม่เคยรู้สึกว่า การอยู่ในโลกที่มีแต่สีขาวและดำถือเป็นความพิการแต่อย่างใด “ผมมองเห็นได้ไกลขึ้น  ผมยังจดจำรูปทรงต่างๆได้ง่ายขึ้นเพราะไม่มีสีสันมาทำให้สับสน” เขาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

เป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์สองคนคิดค้นคำว่า “ไซบอร์ก” เพื่อเรียกสิ่งมีชีวิตในจินตนาการซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นมนุษย์และจักรกล แม้จะฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่วันนี้ คนราว 20,000 คนมีอุปกรณ์ปลูกฝังอยู่ในร่างกายที่ช่วยให้พวกเขาไขกุญแจประตูบ้านได้

แต่เขาอยากรู้อยากเห็นมากว่าสิ่งต่างๆจะเป็นอย่างไรถ้ามีสี  ด้วยความที่เรียนด้านดนตรีมา ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย    เขาจึงคิดว่าเสียงอาจทำให้เขาค้นพบสีได้  ช่วงอายุ 20 ต้นๆ เขาไปหาศัลยแพทย์ (ผู้ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ) ที่ยินยอมปลูกฝังอุปกรณ์ไซเบอร์เนติกส์ (cybernatics: ศาสตร์ที่ว่าด้วยการสื่อสารและควบคุมภายในสัตว์และในเครื่องจักร) ให้

ตัวรับของเส้นใยนำแสงจะรับสีต่างๆที่อยู่ตรงหน้าเขา  และไมโครชิปที่ฝังอยู่ในกะโหลกจะเปลี่ยนคลื่นความถี่ของสีต่างๆไปเป็นการสั่นสะเทือนตรงบริเวณด้านหลังศีรษะ ซึ่งจะกลายเป็นความถี่เสียงและเปลี่ยนกะโหลกให้เป็นเหมือนหูที่สาม เขาระบุได้อย่างถูกต้องว่า เสื้อคลุมของผมเป็นสีน้ำเงิน เมื่อหันเสาอากาศไปทางมูน รีบัส เพื่อนที่เป็นศิลปินไซบอร์กและนักเต้น เขาก็บอกได้ว่าเสื้อของเธอเป็นสีเหลือง

ทะเลทรายคือความท้าทายทางวิวัฒนาการสำหรับผู้อยู่อาศัยในซาฮูล ทวีปที่เคยรวมแผ่นดินออสเตรเลีย นิวกินี และ แทสเมเนียเข้าด้วยกัน หลังจากบรรพบุรุษของชาวอะบอริจินยุคใหม่เดินทางข้ามมาถึงซาฮูลเมื่อราว 50,000 ปีก่อน พวกเขาได้พัฒนาการปรับตัวที่ทำให้มีชีวิตรอดในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งได้ในเวลากลางคืน และในเวลากลางวันที่อุณหภูมิอาจสูงเกิน 38 องศาเซลเซียสได้

เมื่อผมถามฮาร์บิสสันว่า แพทย์ติดอุปกรณ์เข้ากับตัวเขาได้อย่างไร เขาก็รีบแหวกผมด้านหลังศีรษะให้ดูจุดที่เชื่อมต่อกับเสาอากาศ ผิวหนังสีอมชมพูถูกแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งยึดด้วยหมุดสองตัวกดทับไว้ อุปกรณ์ปลูกฝังชิ้นนี้เชื่อมต่อกับไมโครชิปที่สั่นสะเทือนได้ และอุปกรณ์อีกชิ้นคือตัวรวมสัญญาณบลูทูท ซึ่งช่วยให้เพื่อนๆส่งสีต่างๆผ่านมาทางสมาร์ทโฟนของเขาได้

เสาอากาศช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับฮาร์บิสสัน เขาบอกว่ายิ่งนานวันข้อมูลที่ได้รับก็เริ่มไม่เหมือนการมองเห็นหรือ การได้ยินอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนสัมผัสที่หก

สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเกี่ยวกับเสาอากาศนี้คือ  มันช่วยให้เขามีความสามารถอย่างหนึ่งที่มนุษย์อย่างเราๆไม่มี เขามองโคมไฟบนดาดฟ้าและสัมผัสได้ว่า แสงอินฟราเรดที่กระตุ้นโคมไฟให้ทำงานปิดอยู่  พอมองไปที่กระถางต้นไม้ก็    “เห็น” เครื่องหมายรังสีอัลตราไวโอเลตที่แสดงตำแหน่งของน้ำต้อยบริเวณตรงกลางของดอกไม้ เขาไม่ได้มีเพียงทักษะเทียบเท่ามนุษย์ทั่วไป แต่ก้าวล้ำไปกว่านั้น

 มนุษย์ผู้มีสมองใหญ่อย่างเรากระทำหลายสิ่งเพื่อลดทอนพลังของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เราใช้เครื่องมือ การแพทย์และนวัตกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการท้าความตาย ซึ่งเราอาจลงเอยด้วยการพ่ายแพ้ต่อซูเปอร์เชื้อโรค เมื่อพิจารณาจากความเร็วที่เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายไปทั่วโลก การย้ายถิ่นที่เกิดจากการทำลายถิ่นอาศัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้คนสัมผัสเชื้อโรคที่เดิมเคยอยู่ห่างไกลจากมนุษย์

ฮาร์บิสสันจึงเป็นเหมือนก้าวแรกซึ่งนำไปสู่เป้าหมายที่นักอนาคตศาสตร์ (futurist) วาดภาพไว้  เป็นตัวอย่างแรกๆของสิ่งที่เรย์ เคิร์ซวีล กล่าวถึงในหนังสือ The Singularity is Near ว่า  “การขยายขอบเขตศักยภาพของมนุษย์อย่างยิ่งใหญ่” แต่วิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของฮาร์บิสสันเองกลับเป็นเรื่องทางธรรมชาติมากกว่าเทคโนโลยี  แต่ในเมื่อเขากลายเป็นไซบอร์ก คนแรกของโลกอย่างเป็นทางการ (เขาโน้มน้าวรัฐบาลสหราชอาณาจักรในการอนุญาตให้เขาติดเสาอากาศในรูปถ่ายหนังสือเดินทาง  โดยอ้างว่าเสาดังกล่าวไม่ใช่อุปกรณ์ไฟฟ้า แต่เป็นส่วนต่อขยายของสมอง) เขายังกลายเป็นผู้ชักจูงให้คนอื่นคล้อยตาม ไม่นานรีบัสก็ทำตามเขาในสิ่งที่บางครั้งเรียกว่า ลัทธิก้าวข้ามขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์ หรือลัทธิพ้นมนุษย์ (transhumanism) ด้วยการมีเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวในโทรศัพท์ของเธอเชื่อมต่อกับแม่เหล็กที่สั่นสะเทือนได้ฝังอยู่ในต้นแขน เธอได้รับรายงานแผ่นดินไหวตามเวลาจริง ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของโลก และแสดงออกผ่านการเต้นรำ

เห็นได้ชัดว่า  เสาอากาศของฮาร์บิสสันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  แต่เรากำลังอยู่บนเส้นทางในการสร้างนิยามใหม่ให้กับวิวัฒนาการของเราอย่างนั้นหรือ  เป็นไปได้หรือไม่ว่า  วิวัฒนาการในตอนนี้ไม่เพียงหมายถึงกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ   ที่เชื่องช้าผ่านยีนซึ่งเป็นที่ต้องการ  แต่ยังรวมถึงทุกอย่างที่เราทำได้เพื่อขยายพลังอำนาจของเราและพลังของสิ่งต่างๆที่เราทำอย่างการรวมยีน วัฒนธรรม และเทคโนโลยี  หากเป็นเช่นนั้นจริง  วิวัฒนาการนี้จะนำพาเราไปสู่อะไร

Recommend