ภารกิจชุบชีวิตเต่าสูญพันธุ์ แห่งหมู่เกาะกาลาปาโกส

ภารกิจชุบชีวิตเต่าสูญพันธุ์ แห่งหมู่เกาะกาลาปาโกส

“พวกมันทำให้เหล่ากะลาสีตื่นตะลึง จุดประกายความคิดให้ดาร์วิน

แต่เมื่อล่วงถึงกลางศตวรรษที่สิบเก้า

เต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานาที่เป็นสัญลักษณ์

ของหมู่เกาะก็สาบสูญไป ต่อไปนี้คือเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ย่อท้อ

ที่พยายามไขความลับเพื่อนำพวกมากลับมาสู่ถิ่นกำเนิด”

เดือนตุลาคม ปี 1820 เรือล่าวาฬชื่อ เอสเซกซ์ จากแนนทักเก็ต ทอดสมอในอ่าวแห่งหนึ่งของเกาะฟลอเรอานา ในหมู่เกาะกาลาปาโกส ห่างจากชายฝั่งของเอกวาดอร์กว่า 1,000 กิโลเมตร ลูกเรือพายเรือล่าวาฬลำเล็กขึ้นฝั่ง แล้วลัดเลาะไปตามรอยทางที่เกิดจากการเหยียบย่ำของสัตว์เลื้อยคลานโบราณ ผ่านหินบะซอลต์แตกหัก ดงต้นซอลต์บุชและแคกตัส พลาง “สอดส่องมองหาเป้าหมายของการค้นหาของพวกเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ” ตามที่ทอมัส นิกเคอร์สัน เด็กรับใช้ประจำเรือ เขียนเล่าไว้

พวกเขากำลังล่าเต่ายักษ์กาลาปาโกส สัตว์เหล่านี้มีรูปลักษณ์แตกต่างกันในแต่ละเกาะ บ้างมีกระดองโค้งกลมทรงโดม บ้างมีกระดองเว้าเชิดขึ้นด้านหน้าเหมือนอานม้า แต่ทุกตัวเป็นอาหารเลี้ยงกะลาสีได้หลายคน เมื่อนักล่าวาฬพบเจอ “เทอร์พิน” ซึ่งเป็นคำเรียกเต่าในยุคเก่า หากเป็นตัวเล็ก พวกเขาจะจับมันหงายท้อง ใช้เชือกผ้าใบผูกขาแต่ละข้าง แล้วยกขึ้นสะพายหลังเหมือนเป้ ส่วนพวกตัวใหญ่ที่สุด ซึ่งบางตัวหนักกว่า 225 กิโลกรัม พวกเขาจะผูกขามันเข้ากับไม้คานลำยาว แล้วหามไปโดยใช้คนด้านละสองถึงสามคน ข้ามพื้นหินลาวาขรุขระแหลมคมกลับไปที่เรือ

บนเรือ พวกเขาจะเก็บเต่าที่จับมาได้โดยวางหงายเรียงเป็นตั้งเหมือนชามซ้อนกันในห้องระวาง เต่าบกมีชีวิตอยู่ได้นานถึงหนึ่งปีโดยปราศจากสิ่งยังชีพ “พวกมันไม่ต้องกินอาหารหรือดื่มน้ำ และแทบไม่ต้องใส่ใจดูแลเลย” โอเวน เชส ผู้เป็นต้นเรือ เขียนไว้ เรือ เอสเซกซ์ จับเต่าจากเกาะฟลอเรอานามามากกว่า 60 ตัว ซึ่งเป็นชนิดกระดองเว้าที่เรียกกันว่า เต่าหลังอาน จากนั้นเรือก็ออกเดินทางไปยังพื้นที่ล่าวาฬในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ซึ่งหนึ่งเดือนต่อมาเรือก็ถูกวาฬตัวหนึ่งพุ่งชน ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นวนิยายเรื่อง โมบี-ดิ๊ก ของเฮอร์แมน เมลวิลล์

พื้นที่ทางเหนือของเกาะอีซาเบลาเช่นในภาพนี้ ปกคลุมด้วยหินภูเขาไฟจากภูเขาไฟวูล์ฟที่อยู่ใกล้เคียง เกือบ 150 ปีหลังจากเต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานาอันตรธานไป นักวิจัยพบประชากรเต่าที่ผิดแผกออกไปออกลูกออกหลานอยู่ในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งให้เบาะแสเกี่ยวกับวิธีฟื้นฟูชนิดพันธุ์ที่สูญหายไป

เรือ เอสเซกซ์ เป็นเพียงเรือลำหนึ่งในจำนวนมากมายที่มาปล้นเต่ายักษ์กาลาปาโกส ตอนที่ชาลส์ ดาร์วินไปถึงเกาะฟลอเรอานาเมื่อปี 1835 ระหว่างการเดินทางที่จะให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการ เขาได้ยินเรื่องราวกล่าวถึงเรือล่าวาฬที่จับเต่าไปมากถึง 700 ตัวในการขึ้นเกาะเพียงครั้งเดียว “แน่นอนว่าจำนวนพวกมันลดลงไปมากบนเกาะนี้เขาเขียนไว้ นักประวัติศาสตร์คาดประมาณว่า ระหว่างปี 1774 ถึง 1860 เรือผ่านทางจับเต่าไปราว 100,000 ตัวจากเกือบ 300,000 ตัวที่เคยอาศัยในหมู่เกาะนี้เมื่อสเปนมาถึงในปี 1535 ทำให้ประชากรเต่ายักษ์ ทั้ง 15 ชนิดของหมู่เกาะกาลาปาโกสร่อยหรอลงอย่างมาก และสามชนิดถึงกับสูญพันธุ์ไป เต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานาซึ่งพบเห็นครั้งสุดท้ายในทศวรรษ 1850 เป็นชนิดแรกที่สาบสูญไป

อย่างไรก็ตาม เกือบสองศตวรรษให้หลัง เต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานากำลังกลายเป็นเต่ายักษ์กาลาปาโกสที่สูญพันธุ์ไปแล้วชนิดแรกที่จะหวนคืนสู่ถิ่นกำเนิดบรรพบุรุษของมัน การกลับมาอีกครั้งของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ “การฟื้นคืนชีพ” ของหมาป่าไดร์วูล์ฟกำลังเป็นข่าวฮือฮา และนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามสกัดยีนของสิ่งมีชีวิตที่สาบสูญไปนานแล้วชนิดอื่น ๆ อย่างแมมมอทขนยาว แต่ชนิดพันธุ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านั้นจะหวนคืนสู่โลกที่ดำรงอยู่โดยปราศจากพวกมันมานานนับพันปี ในทางกลับกัน ทายาทของเต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานาจะถูกนำกลับไปยังแหล่งอาศัยเดิมที่พวกมันเคยเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น เพื่อทำหน้าที่สำคัญในระบบนิเวศที่ยังต้องการพวกมันอย่างมาก

การเดินทางทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2000 ขณะทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์เดินลุยไปตามร่องธารที่มีพืชพรรณขึ้นรกทึบตรงตีนภูเขาไฟวูล์ฟอันโดดเดี่ยวทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะอีซาเบลา พวกเขายืนยันข้อสังเกตในอดีตที่ระบุอย่างถูกต้องว่า เต่ายักษ์จำนวนหนึ่งที่นี่มีรูปลักษณ์แตกต่างออกไป สัตว์เหล่านี้มีกระดองแบบอานม้า ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเป็นชนิดพันธุ์แยกต่างหากจากพวกกระดองทรงโดมที่พบเห็นได้บ่อยตามที่ลาดสูงขึ้นไปและชุ่มชื้นกว่าของภูเขาไฟลูกนี้ “ที่นั่นมีเต่ากระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ที่ดูไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมเลยครับ”  เจมส์ กิ๊บส์ นักชีววิทยาด้านการอนุรักษ์ นักสำรวจเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และหัวหน้าองค์กรกาลาปาโกสคอนเซอร์แวนซี (Galápagos Conservancy) ซึ่งทำงานปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติของหมู่เกาะแห่งนี้ กล่าว

เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม กิ๊บส์กับทีมงานเก็บตัวอย่างเลือด “จากเต่าทุกตัวที่มีลักษณะผิดแผก” ที่พวกเขาพบและติดป้ายระบุอัตลักษณ์ให้ได้มากที่สุด และส่งตัวอย่างไปให้ อาดัลจีซา “จีเซลลา” คักโคเน ผู้ร่วมวิจัยซึ่งเป็นนักชีววิทยาวิวัฒนาการสังกัดมหาวิทยาลัยเยล และนักสำรวจเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เมื่อวิเคราะห์ดีเอ็นเอของพวกมัน เธอไม่สามารถระบุลำดับพันธุกรรมของพวกมันได้ เนื่องจากไม่ตรงกับชนิดพันธุ์เต่าที่ยังมีชีวิตอยู่ใดๆ ในฐานข้อมูลพันธุกรรมของเธอเลย คักโคเนถึงกับงง “ฉันเรียกพวกมันว่า ‘เอเลียน’” เธอบอก “เราไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน”

นักวิจัยครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า เต่าเอเลียนพวกนี้บางตัวอาจลอยมาเกยตื้นจากเรือล่าวาฬอย่างเรือเอสเซกซ์ อ่าวแบงก์สที่อยู่ทางปีกตะวันตกของภูเขาไฟ เป็นจุดทอดสมอแห่งสุดท้ายในหมู่เกาะกาลาปาโกสสำหรับเรือจำนวนมากที่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ล่าวาฬ และเป็นที่รู้กันว่า บางครั้งพวกลูกเรือก็โยนเต่าส่วนเกินลงทะเลก่อนล่องเรือออกไป สัตว์ไม่เป็นที่ต้องการเหล่านั้นบางส่วนอาจลอยมาติดฝั่ง และปีนป่ายขึ้นไปตามปีกอันขรุขระของภูเขาไฟไปอาศัยอยู่ร่วมกับเต่าพื้นถิ่น แล้วผสมพันธุ์กันในที่สุด

เมื่อชาวสเปนมาถึงในปี 1535 ยังมีเต่าอาศัยอยู่ในหมู่เกาะหลายแสนตัว ในช่วงหลายศตวรรษถัดมา เนื้อของสัตว์ชนิดนี้กลายเป็นอาหารหลักสำหรับกะลาสีที่หิวโหย คุกคามความอยู่รอดของชนิดพันธุ์เหล่านี้ แต่ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรเต่าเริ่มฟื้นตัวภายใต้การคุ้มครองของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะกาลาปาโกส นักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มอนุรักษ์ต่างๆ

นักวิทยาศาสตร์ทำงานเพื่อปกป้องเต่ายักษ์ของกาลาปาโกสมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งขณะนั้นเหลือประชากรเต่าอยู่ไม่กี่พันตัวทั่วทั้งกลุ่มเกาะ แม้นักล่าวาฬจะหายหน้าไปแล้ว แต่เต่ายังคงตกเป็นเหยื่อของสัตว์ต่างๆ ที่พวกเขานำมาด้วย ทั้งหนู หมู สุนัข และมดที่กินไข่กับลูกเต่า รวมทั้งแพะและลาที่กินและทำลายแหล่งอาหารของเต่า เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะกาลาปาโกสรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นก็เสี่ยงที่จะสูญเสียเต่าทุกชนิดพันธุ์ เริ่มจากทศวรรษ 1960 ทีมอนุรักษ์ใช้เครื่องมือที่มีอยู่อย่างจำกัดในเวลานั้นพยายามกอบกู้พวกมัน

พวกเขาเริ่มต้นที่เกาะเอสปาญโญลา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะฟลอเรอานา และตอนนั้นประชากรเต่าเหลืออยู่เพียง 14 ตัว ระหว่างปี 1964 ถึง 1974 เจ้าหน้าที่อุทยานเคลื่อนย้ายเต่าทั้งหมดจากเกาะนี้ไปยังสถานีวิจัยชาลส์ดาร์วินที่สำนักงานใหญ่ของอุทยานบนเกาะซานตากรุซ และด้วยความร่วมมือจากเต่าเพศผู้แข็งแรงกำยำตัวหนึ่ง     ที่นำมาจากสวนสัตว์แซนดีเอโก ซึ่งตามบันทึกระบุว่ามาจากเกาะเอสปาญโญลาเมื่อทศวรรษ 1930 พวกเขาสามารถเพาะพันธุ์จนได้ลูกเต่าหลายพันตัว หลังเสร็จสิ้นการรณรงค์อันเหนื่อยยากเพื่อกำจัดแพะจากเกาะ พวกเขาก็เริ่มนำลูกเต่ามาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ และปัจจุบันมีเต่ามากกว่า 3,000 ตัวอาศัยอยู่ที่นั่น

ทีมเจ้าหน้าที่อุทยานนำความสำเร็จนั้นไปใช้กับเกาะอื่นอีกหลายเกาะ แต่ท่ามกลางชัยชนะเหล่านั้นยังมีความผิดหวังที่เด่นชัดอย่างหนึ่ง กล่าวคือการไม่สามารถหาคู่ผสมพันธุ์ให้เต่าตัวสุดท้ายบนเกาะปินตาที่ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะฟลอเรอานาได้ นักวิทยาศาสตร์รักษาชีวิตเต่าตัวนี้ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อว่า จอร์จผู้เดียวดาย (Lonesome George) จากเกาะบ้านเกิดของมันในช่วงต้นทศวรรษ 1970 และเคลื่อนย้ายไปเลี้ยงในคอกที่สถานีวิจัยของอุทยานด้วยความหวังว่าจะป้องกันไม่ให้เป็นเต่ากาลาปาโกสชนิดที่สี่ที่จะสูญพันธุ์ไป  ตลอดหลายปีหลังจากนั้น พวกเขาพยายามหาคู่ให้มันอย่างไม่ลดละโดยเริ่มจากการตระเวนค้นหาบนเกาะปินตาอย่างไร้ผล จากนั้นก็ลองนำเต่าเพศเมียจากสายพันธุ์อื่นที่มีกระดองแบบอานม้าคล้ายกับเต่าปินตามาไว้ในคอกของจอร์จที่ศูนย์วิจัย เมื่อมันไม่มีทีท่าสนใจจะผสมพันธุ์ พวกเขาจึงลองใช้วิธีผสมเทียม ซึ่งแม้ว่าในท้ายที่สุดฝ่ายเพศเมียจะวางไข่ในคอกของจอร์จ แต่ทุกฟองเป็นไข่ลม ล่วงถึงต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนี้ ไอคอนแห่งวงการอนุรักษ์ก็อายุจะครบ 100 ปีแล้ว เวลาของชนิดพันธุ์นี้ใกล้หมดลงแล้ว

กระดูกและกระดองของเต่าชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วซึ่งได้รับการรักษาไว้กลายเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของนักชีววิทยาวิวัฒนาการ อาดัลจีซา คักโคเน เธอกับทีมงานต้องพึ่งพาของโบราณอย่างกระดองชิ้นนี้ที่พบบนเกาะฟลอเรอานาเมื่อปี 1928 เพื่อระบุว่า เต่าลึกลับจำนวนหนึ่งบนเกาะอีซาเบลาสืบเชื้อสายจากเต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานาที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ความก้าวหน้าด้านการหาลำดับจีโนมเปิดโอกาสให้คักโคเนมีชุดเครื่องมือขนาดใหญ่ขึ้นในการระบุชนิดเต่าเอเลียนจากเกาะวูล์ฟ  เมื่อปี 2006 เธอใช้วิธีวิเคราะห์ดีเอ็นเอแบบใหม่ตรวจสอบตัวอย่างต่างๆ อีกครั้ง เธอค้นพบอย่างน่าทึ่งว่า นักวิทยาศาสตร์ได้เก็บเลือดจากเต่าตัวหนึ่งที่ปรากฏว่ามียีนของเต่าปินตาอยู่ถึงร้อยละ 50 บางทีอาจยังไม่สายเกินไปสำหรับจอร์จผู้เดียวดาย และพวกเขาอาจหาญาติของเต่าปินตามาได้จากเกาะนั้น และกอบกู้ชนิดพันธุ์นี้ไว้ได้ ด้วยความตื่นเต้น เธอเสนอให้ทางอุทยานส่งคณะสำรวจชุดใหม่ไปยังภูเขาไฟอีกครั้ง

ขณะที่ยังพยายามหาที่มาของยีนแปลกประหลาดจากภูเขาไฟวูล์ฟ เธอเริ่มพิจารณาเต่ากาลาปาโกสสามชนิดที่ตอนนั้นเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วอย่างละเอียดมากขึ้น ซึ่งได้แก่ เต่ายักษ์เกาะซานตาเฟ เต่ายักษ์เกาะเฟร์นันดีนา และเต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานา เนื่องจากไม่มีดีเอ็นเอของสัตว์เป็นๆ ให้เปรียบเทียบกับยีนของเต่าเอเลียน เซลล์ประเภทเดียวที่มีให้ใช้หาลำดับพันธุกรรมคือจากตัวอย่างเก่าๆ ที่ถูกนำข้ามมหาสมุทรมาโดยนักล่าวาฬหรือนักสะสมทางวิทยาศาสตร์  “เราวนเวียนไปตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเก็บตัวอย่างกระดูกและผิวหนัง” คักโคเนเล่า ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาอเมริกัน พวกเขาพบกระดูกที่นักธรรมชาติวิทยาชาวนิวยอร์กผู้หนึ่งขุดได้เมื่อปี 1928 จากถ้ำลาวาบนเกาะฟลอเรอานา ที่พิพิธภัณฑ์สัตววิทยาเปรียบเทียบของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พวกเขาพบกระดูกและกระดองที่เก็บมาเมื่อปี 1834 และ 1872 “กระดูกพวกนี้พรุนมากเลยค่ะ” เธอบอก “สีออกเทาๆ” ร่วนเปราะ และแห้งกรอบ ถึงกระนั้น เธอก็สามารถขูดเอาสารพันธุกรรมมาได้มากพอจะใช้หาลำดับดีเอ็นเอของพวกมัน แล้วก็ “นั่นไง!” เธออุทาน เจ้าเต่าเอเลียน “อยู่ในเคลด” หรือกลุ่มที่มีบรรพบุรุษเดียวกัน “กับเต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานา” เต่าหลังอานพวกนี้เป็นลูกผสมระหว่างชนิดพันธุ์หลังโดมพื้นถิ่นแถบภูเขาไฟวูล์ฟกับชนิดพันธุ์หลังอานจากเกาะฟลอเรอานาที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว นักวิทยาศาสตร์คาดเดาได้ถูกต้อง เต่าที่นักล่าวาฬโยนทิ้ง รอดชีวิตและผสมพันธุ์กับชนิดพันธุ์อื่น

ที่ศูนย์เพาะพันธุ์บนเกาะซานตากรุซ ลูกเต่าเช่นในภาพได้รับการเพาะพันธุ์เพื่อนำไปปล่อยคืนถิ่นบนเกาะฟลอเรอานา ซึ่งพวกมันสูญพันธุ์ไปเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบัน มีเต่าที่เรียกว่าลูกผสมฟลอเรอานาราว 300 ตัวที่พร้อมจะนำไปปล่อยได้แล้ว หลังเสร็จสิ้นการรณรงค์อันยาวนานเพื่อกวาดล้างเกาะให้ปลอดหนูและแมวจรต่างถิ่น ซึ่งอาจล่า และกินเต่าวัยเยาว์ที่ยังอ่อนแอ

เมื่อปี 2008 คณะสำรวจชุดใหญ่กลับไปเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมที่ภูเขาไฟวูล์ฟ เพื่อให้ทีมงานได้เรียนรู้มากขึ้นว่ามีเต่ายักษ์ฟลอเรอานาและเต่ายักษ์ปินตาอยู่กี่ตัวบนเกาะนั้น และค้นหาคู่ผสมพันธุ์ที่เป็นไปได้ให้กับจอร์จ ทีมจากอุทยานและองค์กรกาลาปาโกสคอนเซอร์แวนซีตั้งแคมป์รอบภูเขาไฟวูล์ฟ และเก็บตัวอย่างเลือดจากเต่า 1,667 ตัว พร้อมกับติดป้ายระบุอัตลักษณ์ให้ทุกตัว ในห้องปฏิบัติการของเธอที่มหาวิทยาลัยเยล คักโคเนนำตัวอย่างเหล่านั้นมาวิเคราะห์เทียบกับฐานข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นของเธอ และพบว่ามีเต่า 17 ตัวที่มียีนของเต่ายักษ์เกาะปินตา และมี 84 ตัวที่สืบเชื้อสายมาจากเต่ายักษ์เกาะฟลอเรอานา ด้วยยังหวังว่าจะพบเต่ายักษ์ปินตาเพิ่มขึ้น ทีมอุทยานจึงเริ่มกระบวนการอันยาวนานในการวางแผน ขออนุญาต และระดมทุนสำหรับกลับไปสำรวจภูเขาไฟดังกล่าวอีกครั้งพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์และตาข่ายดักสัตว์ที่จะช่วยให้พวกเขาจับเต่าลูกผสมเหล่านั้นได้ แต่ในเดือนมิถุนายนปี 2012 พี่เลี้ยงของจอร์จผู้เดียวดายพบมันเสียชีวิตแล้วในคอก สายเลือดของมันสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับชนิดพันธุ์ของมัน (การผ่าพิสูจน์ในเวลาต่อมาเผยว่า จอร์จมีปัญหาทางกายวิภาคในส่วนท่อนำอสุจิ และน่าจะไม่สามารถสืบพันธุ์ได้)

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ต้องปล่อยวางความคิดที่จะกอบกู้เต่ายักษ์ปินตา พวกเขาก็หันมามุ่งเน้นที่พวกลูกผสมฟลอเรอานาแทน ในช่วงเวลานั้นเองที่ทีมอนุกรักษ์เริ่มพิจารณาข้อเสนอสุดขั้ว นั่นคือการจับและเพาะพันธุ์ลูกหลานของเต่าชนิดนี้ และฟื้นฟูประชากรบนเกาะฟลอเรอานา ซึ่งไม่มีเต่าชนิดนี้อาศัยอยู่มามากกว่า 150 ปีแล้ว

การนำเต่าคืนสู่เกาะฟลอเรอานาเป็นเรื่องสำคัญไม่เพียงเพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสายพันธุ์ที่สูญหายไป แต่ยังจำเป็นอย่างยิ่งในเชิงนิเวศวิทยา ในหมู่เกาะกาลาปาโกสนี่เองที่ดาร์วินสังเกตพบว่า ชนิดพันธุ์ต่างๆ สามารถปรับตัวเข้ากับถิ่นอาศัยของตนได้อย่างแนบเนียนเพียงใด แต่เพิ่งจะไม่นานมานี้เองที่นักนิเวศวิทยาเริ่มตระหนักว่า ถิ่นอาศัยก็ปรับตัวสอดรับกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นั่นได้อย่างแนบเนียนเช่นกัน

การกำจัดสัตว์รุกรานที่คุกคามประชากรเต่าในหมู่เกาะกาลาปากอส เช่น หนู สุนัข และมดที่กินไข่และลูกเต่าเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานหลายปี เต่าซานตากรุซตะวันตกในภาพถูกคุกคามจากหมูจรที่มักมาขุดคุ้ยรังเต่าการพยายามกำจัดทำให้เต่ามีโอกาสเพิ่มจำนวนขึ้นได้

เมื่อเต่ายักษ์ตัวสุดท้ายหายไปจากเกาะฟลอเรอานา ชนิดพันธุ์ต่างๆ ของเกาะก็พลอยได้รับผลกระทบพืชพรรณพื้นถิ่นที่สำคัญเริ่มล้มตาย ขณะที่ประชากรสิ่งมีชีวิตรุกราน ทั้งแมลงศัตรูพืช พืช และปศุสัตว์ต่างถิ่น แพร่กระจาย กลืนกิน หรือชนะการแย่งชิงกับพืชพรรณและสัตว์พื้นถิ่น ล่วงถึงปลายศตวรรษที่สิบเก้า นกม็อกกิงเบิร์ด งูเรเซอร์  นกอัญชัน และเหยี่ยวของเกาะนี้ก็หายไป ในช่วงหลายปีถัดจากนั้น นกฟินช์ นกแสก นกนางนวลลาวา และนกกินแมลงสีแดง ก็สาบสูญตามไป

“หากไม่มีสัตว์กินพืชขนาดยักษ์ สมดุลของระบบนิเวศของเกาะอาจล่มสลายได้เลยครับ” วอชิงตัน “วาโช” ทาเปีย นักชีววิทยาซึ่งทำงานอนุรักษ์ในหมู่เกาะกาลาปาโกสมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 กล่าว เต่าเปรียบเหมือน “วิศวกรระบบนิเวศ” ผู้ตัดแต่งพืชพรรณขณะที่พวกมันเคลื่อนที่เหมือนรถแทรกเตอร์ไปทั่วภูมิประเทศ “พวกมันไถพื้นให้ราบและเปิดหน้าดินให้สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก นกทะเลที่ทำรังบนบก และพืชพรรณพื้นถิ่นต่างๆ” ทาเปียกล่าวและเสริมว่า พวกมันยังควบคุมวัชพืช ช่วยให้แคกตัสพื้นเมืองงอกใหม่ กระจายเมล็ดพืชไปกับมูล สร้างปลักและแอ่งน้ำเป็นที่พักพิงให้ชนิดพันธุ์อื่นๆ

บนเกาะซานตาเฟที่เต่าพื้นถิ่นสูญพันธุ์ไปแล้ว เจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานปล่อยเต่าชนิดพันธุ์คล้ายคลึงกันที่พวกเขาเพาะพันธุ์ขึ้นในสถานเพาะเลี้ยง จากนั้นขนย้ายไปยังเกาะด้วยเฮลิคอปเตอร์

นักวิจัยรู้ว่าสัตว์เหล่านี้เคยช่วยฟื้นฟูสมดุลของระบบนิเวศที่เกาะอื่นๆ มาแล้ว ตัวอย่างเช่นบนเกาะเอสปาญโญลา นักวิทยาศาสตร์สังเกตพบว่า หญ้าและแคกตัสพื้นถิ่นฟื้นกลับมาใหม่ พร้อมกับกิ้งก่าลาวาและนกอัลบาทรอสที่ลดจำนวนลงเมื่อไม่มีเต่าอาศัยอยู่ ที่ไหนที่สัตว์เลื้อยคลานใหญ่ยักษ์เหล่านี้กลับมาอาศัย ระบบนิเวศล้วนเจริญงอกงาม “นี่คือการเปลี่ยนแนวคิดเล็กน้อยในด้านการฟื้นฟู”  อาร์ตูโร อีซูรีเอตา วาเลรี ซึ่งรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการอุทยานกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ตั้งข้อสังเกต ทุกวันนี้ ทีมอนุรักษ์นำสัตว์ที่หายไปกลับคืนสู่ถิ่นเดิม โดยมุ่ง “ขยายการฟื้นฟูให้ครอบคลุมระบบนิเวศ”

ความรู้ใหม่ด้านพันธุศาสตร์ชนิดพันธุ์ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มั่นใจได้ว่า กำลังเพาะพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับการอยู่รอดในถิ่นอาศัยนั้นๆ อย่างแท้จริง “งานทั้งหมดนี้ไม่เคยมีเป้าหมายเพื่อชุบชีวิตสัตว์สูญพันธุ์ หรือสร้างเต่าฟลอเรอานาขึ้นมาใหม่เพราะยังเป็นไปไม่ได้ค่ะ” เอเวอลิน เจนเซน นักชีววิทยาด้านการอนุรักษ์สังกัดมหาวิทยาลัยนิวแคสเซิล อดีตนักศึกษาหลังปริญญาเอกของคักโคเน กล่าวและเสริมว่า เต่ามีอายุยืนนานเกินไป ใช้เวลานานเกินไปในการสืบพันธุ์ และหากจะสร้างให้ได้ใกล้เคียงพันธุ์แท้ที่สุด เธอบอกว่า “จะต้องเป็นโครงการระดับ 500 ปีเลยค่ะ” ดังนั้น เป้าหมายจึงตั้งไว้ที่เพื่อให้ลูกหลานของชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วได้กลับคืนถิ่น อยู่รอด และสืบทอดหน้าที่ทางนิเวศวิทยาของบรรพบุรุษในถิ่นอาศัยดั้งเดิม

เรื่อง แฮนนาห์ นอร์ดเฮาส์

ภาพถ่าย ลูกัส บุสตามานเต

แปล  อัครมุนี วรรณประไพ


อ่านเพิ่มเติม : เต่าทะเล : หยัดยืนได้อีกนานเพียงใด

Recommend