“กะท่างน้ำจากดอยสอยมาลัย ถูกศึกษาและตั้งชื่อว่า กะท่างน้ำดอยสอยมาลัย
นับว่าเป็นกะท่างน้ำชนิดที่ 7 ของประเทศไทย”
กะท่างน้ำ (crocodile newt) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง (vertebrate) อยู่ในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (amphibian) อันดับซาลาแมนเดอร์และนิวท์ (order Urodela) กะท่างน้ำถูกจัดเป็นนิวท์ (newt) เพราะมีผิวหนังแห้งและขรุขระ ถูกจัดอยู่ในสกุล Tylototriton นอกจากมีรายงานการกระจายตัวที่ประเทศไทยแล้ว ยังมีการพบเจอตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ตอนกลางและตอนใต้ของจีน รวมถึงเกาะไหหลำ และตอนเหนือของอินโดจีน ในประเทศไทยนั้น กะท่างน้ำมักอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงที่ชุ่มชื้นและเย็น ในช่วงฤดูแล้งและฤดูหนาวกะท่างน้ำจะอาศัยอยู่ในโพรงดิน โพรงต้นไม้ หรือใต้ขอนไม้ที่ชุ่มชื้น และจะไปยังแหล่งน้ำในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูสืบพันธุ์ ออกลูกเป็นไข่ที่มีเปลือกคล้ายวุ้น จากนั้นตัวอ่อน (larva) จะออกจากไข่และเจริญเติบโตโดยมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างระหว่างการเจริญ (metamorphosis) จนถึงระยะตัวเด็ก (juvenile หรือ eft) จึงจะขึ้นมาอาศัยอยู่บนบก
กะท่างน้ำดอยสอยมาลัย (Doi Soi Malai crocodile newt) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Tylototriton soimalai ถูกศึกษาและตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่ที่พบกะท่างน้ำชนิดนี้เป็นครั้งแรก ที่ ดอยสอยมาลัย หรือ หลังคาเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นกะท่างน้ำชนิดใหม่ของโลกและเป็นชนิดที่ 7 ที่มีรายงานในประเทศไทย โดยทีมนักวิจัยจากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และนักวิจัยจากประเทศฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
การค้นพบกะท่างน้ำดอยสอยมาลัย
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2558 มีการเผยแพร่ข่าวการพบกะท่างน้ำบริเวณยอดดอยสอยมาลัย โดย ททท. ท่องเที่ยวไทย จึงนำมาสู่การติดตามและค้นหากะท่างน้ำดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี โดยทีมวิจัยนำโดยรองศาสตราจารย์ ดร.ปรวีร์ พรหมโชติ และรองศาสตราจารย์ ดร.วิเชฏฐ์ คนซื่อ จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ทีมวิจัยได้สำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนยอดดอยสอยมาลัยที่ระดับความสูงประมาณ 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล และค้นพบกะท่างน้ำตัวเต็มวัยและตัวอ่อนอยู่ในแอ่งน้ำ
กะท่างน้ำดอยสอยมาลัย มีความใกล้ชิดทางวิวัฒนาการกับชนิดกะท่างน้ำเหนือ (T. uyenoi) ที่มีการกระจายตัวทางภาคเหนือของประเทศไทยมากที่สุด แต่กะท่างน้ำดอยสอยมาลัย มีลักษณะเฉพาะ เช่น พื้นตัวสีดำ แต่มีสีสดบนร่างกายมีสีส้ม มีสันกระดูกกลางหัวที่แคบและสั้น เป็นต้น และจากการศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรม ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า กะท่างน้ำที่พบที่ดอยสอยมาลัย เป็นกะท่างน้ำชนิดใหม่ของโลก
กะท่างน้ำดอยสอยมาลัยมีลักษณะสัณฐานที่แตกต่างจากกะท่างน้ำชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกัน โดยมีลักษณะเฉพาะคือ หัวมีความยาวมากกว่าความกว้าง ปลายจมูกทู่หรือเป็นปลายตัด สันกระดูกกลางหัวแคบ สั้น และชัดเจน แนวสันกระดูกข้างหัวเด่นชัดและขรุขระ มีต่อมพิษหลังตาที่เห็นได้ชัดเจน สันกระดูกสันหลังเด่นชัด กว้าง และไม่แบ่งเป็นท่อน มีต่อมพิษข้างลำตัว 14–16 ตุ่มซึ่งมีลักษณะกลมและแยกออกจากกัน ยกเว้นส่วนหลังที่เชื่อมต่อกัน สีพื้นลำตัวเป็นสีดำและส่วนอื่น ๆ มีสีส้ม การวิเคราะห์ระดับโมเลกุลในยีน NADH dehydrogenase subunit 2 (ND2) ในไมโทคอนเดรีย พบว่ากะท่างน้ำดอยสอยมาลัยเป็นชนิดที่แยกต่างหาก โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกะท่างน้ำเหนือ (T. uyenoi) มากที่สุด โดยมีความแตกต่างของลำดับพันธุกรรม 4.1%
ปัจจุบันการค้นพบกะท่างน้ำดอยสอยมาลัยนี้ยังอยู่ในวงแคบเฉพาะบริเวณยอดดอยสอยมาลัยเท่านั้น ยังไม่มีการค้นพบในพื้นที่อื่น ๆ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอนุรักษ์และดูแลพื้นที่ดังกล่าวให้ปราศจากการรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งกะท่างน้ำดอยสอยมาลัยจะอาศัยอยู่ในบริเวณแอ่งน้ำบนถนนเพื่อสืบพันธุ์และการเติบโตของตัวอ่อนจนกว่าจะถึงระยะโตเต็มวัย
จากการศึกษาและตั้งชื่อกะท่างน้ำดอยสอยมาลัยทำให้ปัจจุบันกะท่างน้ำที่พบในประเทศไทยมี 7 ชนิด ได้แก่
- กะท่างหรือกะทั่งหรือกะท่างน้ำหิมาลัย (T. verrucosus) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Anderson 1871 มีสันกระดูกนูนข้างหัวค่อนข้างเรียบ มีสันกระดูกกลางหลังแคบและแบ่งเป็นท่อน เป็นต้น พบการกระจายตัวทางภาคเหนือ เช่น จ.เชียงราย
- กะท่างน้ำเหนือหรือกะท่างน้ำอุเอะโนะ (T. uyenoi) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Nishikawa และคณะ 2013 มีปลายหัวมนหรือทู่ มีสันกระดูกกลางหลังกว้างและแบ่งเป็นท่อน เป็นต้น พบการกระจายตัวทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นชนิดที่พบเจอได้ง่ายที่สุด เช่น ดอยอินทนนท์ ดอยสุเทพ ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
- กะท่างน้ำอีสานหรือกะท่างน้ำปัญหา (T. panhai) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Nishikawa และคณะ 2013 มีขาหน้าและขาหลังสีเดียวกับลำตัว แต่ปลายนิ้วมีสีส้มหรือเหลือง เป็นต้น พบทางภาคเหนือตอนล่างและบนเทือกเขาเลย-เพชรบูรณ์
- กะท่างน้ำดอยลังกา (T. anguliceps) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Le และคณะ 2015 มีสันกระดูกกลางหัวขนาดใหญ่ มีสันกระดูกนูนข้างหัวที่ชันและส่วนปลายโค้งเข้าหาแนวกลางตัว เป็นต้น พบทางภาคเหนือ เช่น ดอยลังกา จ.เชียงราย
- กะท่างน้ำดอยภูคา (T. phukhaensis) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Pomchote และคณะ 2020 มีสันกระดูกกลางหัวแคบและยาว เป็นต้น พบเจอที่ จ.น่าน
- กะท่างน้ำอุ้มผาง (T. umphangensis) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Pomchote และคณะ 2021 มีหัวโต เนื่องจากกระดูกขากรรไกรบนมีขนาดใหญ่และมีติ่งกระดูกขนาดเล็กที่ปลายของขากรรไกรล่าง เป็นต้น พบเจอที่ภาคตะวันตก เช่น อ.อุ้มผาง
- กะท่างน้ำดอยสอยมาลัย (T. soimalai) ถูกศึกษาและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Pomchote และคณะ 2024 สันกระดูกกลางหัวแคบและสั้น และมีสันกระดูกสันหลังกว้างและไม่แบ่งเป็นท่อน เป็นต้น พบเจอที่ดอยสอยมาลัย จ.ตาก
แม้ว่ากะท่างน้ำทั้ง 7 ชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญจะจัดจำแนกชนิดได้ไม่ง่ายนัก การนำข้อมูลพื้นที่ที่พบเจอมาประกอบกันจะช่วยในการระบุชนิดของกะท่างน้ำในเบื้องต้นได้
กะท่างน้ำเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ มีบทบาททั้งเป็นผู้ล่าและเหยื่อ สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดทางชีวภาพที่สามารถบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีศักยภาพในการนำสารต่าง ๆ จากเมือกและพิษมาศึกษาเพื่อใช้ประโยชน์ในมนุษย์ในอนาคต แม้ว่ากะท่างน้ำในประเทศไทยอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูง โดยเทือกเขาสูงเหล่านี้มักอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เช่น อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งถูกคุ้มครองด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่า การตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เข้าไปใช้พื้นที่ในป่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบไม่เพียงแต่กะท่างน้ำแต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายคนที่จะได้รับผลกระทบก็หนีไม่พ้นมนุษย์นั่นเอง ดังนั้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจึงจำเป็นเพื่อการใช้ประโยชน์ในอนาคตอย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
Pomchote P, Peerachidacho P, Khonsue W, Sapewisut P, Hernandez A, Phalaraksh C, Siriput P, Nishikawa K (2024) The seventh species of the newt genus Tylototriton in Thailand: a new species (Urodela, Salamandridae) from Tak Province, northwestern Thailand. ZooKeys 1215: 185–208. https://doi.org/10.3897/ zookeys.1215.116624