Time Flies… คำ ๆ นี้จริงเสียยิ่งกว่าจริง
ตุลาคม 2563 แล้วนี่คือเรื่องจริงใช่มั้ยทำไมเร็วจัง
ปีแห่งเทศกาลเก็บตัว ปีแห่งมหกรรมเก็บตุน
บันทึกการ เดินป่าที่ออสเตรเลีย
สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดึงเวลาของเราให้ผ่านไปไวเหมือนโกหก เร็วจนต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า ปีนี้เราเติมความสุขให้ตัวเองแล้วหรือยัง?
คำถามนี้ติดตรึงอยู่ในสมองของ “สตางค์” เด็กไทยในต่างแดนใต้ผืนฟ้านครซิดนีย์ (ออสเตรเลีย) เธอคืออีกหนึ่งคนที่เชื่อ ว่า “ความสุขหาได้ไม่ยาก หากเรากล้าที่จะก้าวเข้าไปหามัน”
แม้มีเวลาเพียงเล็กน้อย เธอก็พร้อมที่จะกระโดดใส่อย่างไม่ เกรงกลัว มันจะยากอะไร วันนี้ว่างนี่คะ เธอจึงไม่รอช้า “One Day Trip” ก็ไป อะไรก็ได้ อย่าไปคิดเยอะ หันหน้าเข้าป่า เดินออกกำลังกาย สลายเซลลูไลท์ สูดอากาศบริสุทธิ์ท่าจะดี แนวร่วมนั้นมีไม่มาก เพราะสถานที่ที่เธอและเพื่อนได้เสิร์ชหา ชื่อเสียงอาจดูไม่หวือหวามากสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลีย นั่นคือ “Blue Mountains”
โดยมีจุดท่องเที่ยวสำคัญที่คนส่วนใหญ่รู้จักคือ Three Sisters แต่วันนี้การนัดหมายกับเพื่อน ๆ ของสตางค์และทางกลุ่ม พวกเขากลับขอมุ่งหน้าไปยังอีกจุดหมายหนึ่งที่น่าสนใจกว่า โดยมีชื่อเรียกว่า “Hanging Rock” จุดเริ่มต้นกิจรรม เดินป่าที่ออสเตรเลีย จึงเริ่มขึ้น
ผู้ร่วมเดินครั้งนี้มีทั้งหมด 5 ชีวิต คือ สตางค์ (เธอขอเรียกตัวเองว่าตังค์) กับเพื่อน 2 คน และเพื่อนใหม่ผู้รักการกดชัตเตอร์ อีก 2 คน ที่มาเจอกันอย่างงง ๆ ผ่าน Thai Community ซึ่งสตางค์บอกว่า “หากมีจิตวิญญาณเดียวกัน แม้จะเจอกันเพียง 1 นาที ก็สามารถเดินไปด้วยกันได้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” (เธอว่าไว้อย่างนั้น)
รอช้าอยู่ไย! เมื่อนัดเจอกันพร้อมหน้า ล้อรถก็เตรียมหมุนออกเดินทาง โดยเดินทางกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ด้วยความหวังที่จะไปรับอากาศบริสุทธิ์ หลังพระอาทิตย์แรกไต่ขอบฟ้า บวกกับเอาใจเพื่อนใหม่สายแชะ เผื่อจะได้แสงสวยไปประดับโปรไฟล์ ใช่รึเปล่าก็ไม่รู้! แต่น่าจะใช่แหละ ฮ่า ๆ
พิกัดปลายทาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยระหว่างทางที่อยู่บนรถนั้น มีกิจกรรมให้แต่ละคนแนะนำตัวกันไปพลาง ๆ ถนนต้นสายที่เรากำลังขับรถอยู่นี้เป็น freeway การจราจรดูโล่งขับสบาย เราสามารถทอดสายตาออกไปชมวิวข้างทางได้แบบเพลิน ๆ จนมาถึงเมืองดั้งเดิมที่มีชื่อว่า Blackheath อันเป็นสัญญาณให้เรารู้ว่า นี่คือทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกล โดยถนนทางเข้าเริ่มเปลี่ยนเป็นหินปนทราย แต่ไม่ถึงขนาดเป็นลูกรัง ไม่มีหลุม ไม่มีบ่อ ยังไม่ทันขาดคำ GPS ก็เปล่งเสียงให้สัญญาณ “your destination is on the right” เรามาถึงแล้ว ตื่นเต้น ๆ!!!
เนื่องจากกิจกรรมหลักวันนี้คือกิจกรรม เดินป่าที่ออสเตรเลีย เราจึงต้องแน่ใจว่าทุกคนมีขวดน้ำติดตัวกันไป สำหรับไว้จิบดับกระหายระหว่างทาง แก้อาการเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย ส่วนตัวตังค์นั้นด้วยความที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในทริปนี้ หญิงแกร่งอย่างเราจึงจัดแจงเปิดซิปกระเป๋าดูให้แน่ใจอีกที และสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือเราต้องมีเสบียง โดยอย่าให้ขาดตกบกพร่อง เมื่อเช็คจนแน่ใจแล้ว เป้ใบงามก็พร้อมสะพายขึ้นหลัง และดูเหมือนทุกคนก็จะพร้อมกันแล้ว
การเดินป่าครั้งนี้ เราเดินไปตามทางชื่อ Burramoko Cycling Fire Trail ระยะทาง 10 กิโลเมตร ไป-กลับ หึ หึ! 10 จ้ะ 10 กิโลเมตร ไม่ผิดแน่ ชื่อทางดูเหมือนมีไว้สำหรับจักรยานไต่ภูเขา แต่จริง ๆ เขาอนุญาตให้เดินเท้าได้ด้วยนะคะ ซึ่งอากาศวันนี้ก็ช่างเป็นใจ เย็นสบายประมาณ 18 องศาเซลเซียส โดยมีแดดและลมอ่อน ๆ พัดมาเบา ๆ ทุกคนแต่งตัวกันกำลังดี บ้างก็สวมใส่เสื้อแขนยาวไม่หนามาก บ้างก็เสื้อกันลม พร้อมหมวก และแว่นกันแดด เดินกันไปยาว ๆ ได้สบายเลยค่ะ
ระหว่างทางเราเจอคนเดินสวนกันไปมาประปราย ดูเหมือนส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่ออกมาเดินออกกำลังกายยามเช้า ทุกคนดูน่ารักและเป็นกันเองกับเราอย่างมาก โดยบางคนก็พูด Say Hello! Good Morning! พร้อมกับมอบรอยยิ้มเวลาเราเดินสวนกัน ช่างเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของวันจริง ๆ
จากทางเข้าประมาณ 1 กิโลเมตร ข้างทางเริ่มจากรั้วเสาเหล็กเปลี่ยนเป็นต้นไม้สูงโปร่งเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน คือ ต้นไม้เหล่านั้นยังมีกลิ่นอายของหายนะครั้งใหญ่ที่ชาวออสเตรเลียไม่อาจลืมเลือน อย่างสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี โดยได้ทำลายต้นไม้ใบหญ้า และสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน สิ่งที่เราเห็นตรงหน้า คืออีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่ดูเหมือนกำลังซ่อมแซมร่างหลังการถูกแผดเผา แม้ลำต้นและผิวไม้จะดูเหมือนแตกแห้ง หรือแม้กระทั่งดำมะเมื่อมจนเหมือนถ่าน แต่ก็ยังมีใบไม้อ่อนสีเขียวแกมส้ม รอผลิยอดแตกใบอยู่มากมาย นี่สินะ! ที่เขาพูดกันว่า ฟ้าหลังฝนมันช่างสวยงาม ใบไม้น้อย ๆ ที่เพิ่งผลิออกมาเหล่านั้น บวกกับแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุกิ่งก้านสาขา กระตุ้นต่อมให้เราอยากยกกล้อง หรือมือถือคู่ใจขึ้นมากดบันทึกภาพกันแบบรัว ๆ ถ่ายยังไงก็สวย ได้รูปกันกลับไปแบบเต็มคลัง!
เดินต่อกันไปอีกสักพัก นอกจากประสาทตาที่มองวิวทิวทัศน์กันจนเพลิน ประสาทหูก็เริ่มทำงาน เราได้ยินเสียง “หวิด หวิด หวิด หวิด” เริ่มดังขึ้นและดังขึ้น ฟีลนี้เสมือนบรรยากาศที่เมืองไทยยามเมื่อแดดร่มลมตก แล้วเหล่าจักจั่นออกมาส่งเสียงพูดคุยกัน
ไอ้หนุ่มผมยาว (“หนุ่มมี่” แฟนของดิฉันเอง) หนึ่งในคณะเดินป่าของเรา ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขามุ่งตรงไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง และยืนจ้องสัตว์น้อย 6 ขา สีน้ำตาลอ่อน ๆ ที่เกาะอยู่อย่างไม่กระดุกกระดิก ดูเหมือนมันจะเป็น แค่ซากที่เกิดจากการลอกคราบของแมลงชนิดหนึ่ง จากข้อสงสัยของเราทำให้รู้คำตอบว่า Omg! พี่จักจั่นไม่ได้มีแค่ในไทย Made in Australia ก็มีจ้า รู้ตัวอีกทีมองไปรอบ ๆ ไม่ใช่แค่บนลำต้นไม้ใหญ่ แม้บนพื้น บนใบหญ้า ล้วนต่างก็มีร่างเปล่าเปลือยของจักจั่นที่ลอกคราบแล้วเต็มไปหมด ไม่น่าแปลกใจแล้วละว่าเสียงที่ดังก้องหูพวกเรานั้นคือ เหล่ากองทัพจักจั่นนั่นเอง
เราเดินคุยกันไป ถ่ายภาพกันไป ดื่มด่ำกับวิวสองข้างทางกันแบบเพลิดเพลิน จนฆ่าเวลาการเดินป่าของเราไปโดยไม่รู้ตัว นี่เราเดินกันมาเกือบ 2 ชั่วโมง แล้วนะ! แต่กลับไม่เหนื่อยเลยแฮะ รู้ตัวอีกทีก็เหมือนจะสุดทางเข้าแล้ว ด้านหน้าของเราคือ หน้าผาตัด วิวพานอรามาที่เห็นเป็นภูเขาสีเขียวเชื่อมต่อกันเป็นแนวยาว งามขนาดเลยค่ะทุกคน ด้วยความอยากรู้ว่าข้างล่างมีอะไร ตังค์ก็เลยชะโงกหน้าลงไปดูเสียหน่อย โอ้โห! สูงมาก หน้าผาที่เรายืนกันอยู่ เหมือนมีใครเอามีดมาหั่นภูเขา มันลึกดิ่งลงไปสุดลูกหูลูกตา นี่สินะที่คุณฝรั่งเขาชอบพูดกันว่า Butterfly in my stomach! หวิวท้องสิคะ หวิวท้อง!
จากจุดนี้ เพื่อนช่างภาพทักขึ้นมาว่า แล้ว “Hanging Rock” เราอยู่ไหนละ เพราะดูเหมือนจะสุดทางที่เราจะเดินต่อได้แล้วนะ ทุกคนหมุนตัว 360 องศา ช่วยกันดูทางโดยรอบว่ามีจุดไหน หรือทางไหนซ่อนเร้นอยู่อีก
ในใจตอนนั้นคิดไปหลายอย่าง เอ๊ะ! เราเดินถูกทางไหม เอ๊ะ! หรือ หิน Hanging Rock รูปร่างเปลี่ยนไปแล้วตามธรรมชาติ เราเลยหามันไม่เจอ ประมาณ 2-3 นาที
พี่เหมือน (แกนนำทริปหัวโจก) ก็ตะโกนขึ้นมาว่า ทางนี้! ทางนี้!
เราทุกคน จึงย้ายองศาหันไปตามทางที่พี่เหมือนบอกทันที ตาก็สอดส่ายหา หิน Hanging Rock ที่เขาว่าหน้าตามันจะเหมือนตะขอเกี่ยวนั้นอยู่ตรงไหน
เสียงพี่เหมือนตะโกนขึ้นอีกครั้งมาว่า นั่นไง ๆ! เจอแล้ว
จากหน้าผาหินที่เราอยู่ หากเราหันไปแล้วมองเยื้องไปทางด้านขวา เห็นเป็นหินสีน้ำตาล ซึ่งเป็นชั้นหินสีเข้ม-อ่อนสลับกัน หน้าตาเหมือนจะงอยตะขอยื่นออกมาจากภูเขา เคยเห็นแต่ในรูป บอกได้คำเดียว ของจริงสวยกว่ามาก ทุกคนดีใจกันมาก ตื่นเต้นจนลืมเหนื่อย และพร้อมที่จะเดินดุ่ม ๆ ไปหาพี่หินที่เรารอคอย แต่กระนั้นเส้นทางก่อนถึงสวรรค์ มันต้องมีอุปสรรคกันบ้าง บอกเลยว่ามันช่างสูงชัน ทางที่พอจะไต่ไปได้เป็นร่องหินผสมกรวดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ผ่านการถม หรือตัดแต่งโดยฝีมือมนุษย์แต่อย่างใด
เราทุกคนก้าวฝีเท้าไปอย่างช้า ๆ ให้มั่นใจว่านั่นจะเป็นไปอย่างมั่นคง ทั้งมือซ้าย-ขวาจึงต้องควานหาและจับกิ่งไม้เพื่อพยุงตัวให้มั่น อารมณ์นี้ช่างท้าทาย ในใจรู้เพียงว่ารออยู่ตรงนั้นนะ ฉันมาแล้ว! เราไต่กันลงไป ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 5 นาที จุดหมายของเราคือ การได้ไปยืนปลายของหิน Hanging Rock แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างที่คิด อีกไม่กี่เอื้อมมือ ที่เราจะได้ไปยลความสวยงามที่ปลายจะงอยหิน แต่ดันมีรอยแตกแยกของแผ่นหินความกว้างประมาณเกือบ 1 เมตร หากเราต้องไปถึงจุดหมายนั้น เราจำเป็นต้องกระโดดผ่านช่องแคบนี้ไปให้ได้เสียก่อน เราทุกคนต่างมองตากันปริบ ๆ เอาไงละทีนี้ ฮ่า ๆ ๆ
จะทำอย่างไรได้อีกละ ต่อมอะดรีนาลีนของพี่เหมือนผู้นำทริปของเรามันพลุ่งพล่าน ความสวยงามด้านหน้าช่างเย้ายวนเกินจะห้ามใจไหว เขาจึงเป็นผู้กล้าคนแรกที่กระโดดข้ามรอยแยกนั้น สิ่งที่เราตกลงกันเพื่อความปลอดภัยก็คือ เราจะไปที่ปลาย Hanging rock นั้นทีละคน เพราะเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าหินจะสามารถรับน้ำหนักทุกคนได้มากน้อยเพียงใด แล้วพี่เหมือนก็ทำสำเร็จ
ส่วนตัวตังค์นั้นรับหน้าที่เป็นช่างภาพอยู่ฝั่งตรงข้าม ให้ทุกคนได้เก็บภาพไว้เชยชม เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่า ครั้งหนึ่งเราได้มาเหยียบจะงอยหินแห่งนี้แล้ว หนุ่ม ๆ ค่อย ๆ ทยอยกันไปทีละคนอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งมาถึงหญิงสาวคนสุดท้าย นั่นก็คือตังค์เอง หัวใจตอนนั้นเหมือนกำลังเต้นระบำ
ตาเราแล้วหรือนี่ ! ปากก็ไล่ถามทุกคนก่อนเลยว่า อยู่ตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
คำตอบที่ได้มาเสียงเดียว คือ เสียวมาก Level 10 เต็ม 10 เลย สีหน้าและสายตาของทุกคนคือ จริงเสียยิ่งกว่าจริง เข่าอ่อนขาอ่อนกันหมด ทางนี้ใจก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอยู่เบา ๆ ภายใต้ความซุ่มซ่ามและกระโตกกระตากของเรา ใครจะรู้ว่ามีอาการกลัวความสูงซ่อนอยู่ลึก ๆ ขณะที่ความสวยข้างหน้าก็อยากจะไปยล
พี่เหมือน และหนุ่มมี่ จึงอาสาพาหญิงสาวร่างไม่เล็กคนนี้ไปส่ง ณ จุดรอยแตกหินนั้น พอไปถึงเราก็สำรวจก่อนเลยจะกระโดดอย่างไรให้ลงไปอย่างมั่นคง เพราะแค่ยืนตรงนี้เข่าก็อ่อนแล้ว แถมฝั่งตรงข้ามหินตรงหน้าไม่ใช่พื้นเรียบ แต่คือก้อนหินปรักหักพังที่เป็นร่องเป็นหลุม บวกกับมีเศษทรายที่ดูจะลื่นไม่เบา หากพลาดไปมีหวังได้ลงไปสวัสดีหน้าผาด้านข้างอย่างแน่นอน
หายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ สองชายหนุ่มถามตังค์ เพื่อความมั่นใจว่า “ไหวไหม” ในใจสับสนปนเป มันเสียวมากบอกไม่ถูก จนมีมืออุ่นของหนุ่มมี่ยื่นมาจับที่มือซ้ายของตังค์ แล้วพูดว่า “ที่รัก เขาว่า ที่รักอย่าไปเลย ที่รักซุ่มซ่าม เกิดอะไร มันจะไม่คุ้ม” ตังค์มองกลับไปที่หนุ่มมี่ ตาปริบ ๆ แล้วตอบไปว่า “จริง ๆ เขาก็คิดอย่างนั้น” ขอโทษจริง ๆ นะคะคุณผู้ชม มันคือเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ฉากจบหักมุมนั้นมีอยู่จริง จังหวะนั้นใครจะเข้าใจ ตอนนั้นหน้าบุพการีผุดลอยขึ้นมาทันทีทันใด บวกกับการประเมินตัวเองแล้วว่า “แค่เรามาถึงขั้นนี้ก็ดีมากแล้ว สุขใจมาก และสนุกมาก” ไม่เสียใจเลยที่ไม่ได้กระโดดข้ามไป
ความเสียวในท้องหายไป แต่เสียงกรดในกระเพาะอาหารไหลเข้ามาแทนที่ อิ่มวิวแล้ว ท้องเราต้องอิ่มด้วย อะไรจะดีไปกว่า Lunch with the View! เราหาตำแหน่งเหมาะ ๆ นั่งพัก ตังค์ควักเสบียงในเป้สะพายหลังออกมา “ข้าวเหนียวไก่ทอด” เจ้าค่ะ ฝรั่งเห็นแล้วยังต้องงง ปกติมาเดินป่าเขาต้องแพ็คแซนด์วิชมากินกัน แต่ตังค์ว่าแค่แซนด์วิชมัน จะไม่ฟิน ข้าวเหนียวพี่ไทยนี่แหละฟินสุด!! ทุกคนเต็มพลังกันอย่างเอร็ดอร่อย แล้วจึงเริ่มหันหน้ากลับเส้นทางเดิมชมบรรยากาศกันอีกรอบ….
ขากลับ ดูเหมือนผู้คนจะเริ่มเยอะขึ้น สิงห์จักรยานภูเขาก็มีมาอย่างไม่ขาดสาย แม้ทุกคนจะไม่รู้จักกัน แต่เหมือนทุกคนมาด้วยใจรักและมีอารมณ์สุนทรีย์ เพราะยังคงได้ยินคำกล่าวทักทาย Say Hi! และอวยพร Have a Good Day! กันอยู่เนือง ๆ ช่างเป็นการเดินป่าที่เรียกว่าชิลมาก ไม่เสียเที่ยวเลยจริง ๆ ก่อนจะถึงทางออก เหมือนจะมีของแถมให้เราได้เก็บภาพกันอีก 1 ดอก บนต้นไม้ลำต้นสูงใหญ่ ซึ่งตังค์ไม่แน่ว่านี่คือต้นไม้ชนิดใด ดูเหมือนจะมีนก 2 ตัว ขนาดใหญ่สีนิล ผมทรงโมฮ็อก แก้มสองข้าง และปลายหางเหลืองอร่ามสะดุดตา บินจีบกันอยู่ ทุกคนหยุดฝีก้าวมองไปหาน้องนกยักษ์แบบไม่คลาดสายตา เราแทบไม่หายใจ เพราะกลัวว่าพวกมันจะตกใจบนหนีไป เมื่อพินิจพิจารณากันอยู่นานว่านกที่เห็นคือนกอะไร เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย จังหวะที่พวกมันบินข้ามกิ่งไม้ไปมา แผงปีกดูสวยเงางามและแข็งแรง จนมีเสียงคุณลุงคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเราพูดขึ้นมาว่า “They’re yellow-tailed black cockatoo. they live here.” ข้อสงสัยจึงถูกคลี่คลาย เพราะมันคือ นกค๊อกคาทูหางเหลือง ค่ะ เรียกว่าได้ภาพ Native Bird กันไปเป็นของแถม เราเดินต่อไม่นานเราก็กลับมาถึงรถ
Mission Completed! ถือเป็น One-Day Trip ที่ดีมากคะ ได้ดื่มด่ำธรรมชาติในทุก ๆ อารมณ์ ทั้งอารมณ์สวยงาม อารมณ์สดชื่น อารมณ์ผ่อนคลาย อารมณ์หัวใจเต้นรัว เป็นการเติมพลังงานร่างกาย และจิตวิญญาณ จนลืมความเหนื่อยในวันก่อน ๆ ไปเลย ต้องขอบคุณ “ธรรมชาติ” ที่สุดในวันนี้ ที่ทำให้ตังค์รู้ว่า ธรรมชาติคือ Therapist – ผู้บำบัดตัวจริง และต้องขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนนะคะ ต้องกลับไปเริ่มต้นวันใหม่ในวันพรุ่งนี้แล้ว See you next trip. ค่ะ
เรื่องและภาพถ่าย ชนรดี วัฒนกิตานนท์
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เดินป่า 4 วัน 49 กิโลเมตร บนเส้นทางชีวิตสัมพันธ์คนดอย คนเมือง และธรรมชาติ