อารยธรรมโบราณ : เมื่อเด็กตกเป็นเหยื่อบูชายัญ

อารยธรรมโบราณ : เมื่อเด็กตกเป็นเหยื่อบูชายัญ

อารยธรรมโบราณ : เมื่อเด็กตกเป็นเหยื่อบูชายัญ

เรื่อง คริสติน รอมีย์

ภาพถ่าย โรเบิร์ต คลาร์ก

เมื่อกว่า 500 ปีก่อน ชาวชิมูซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นประเทศเปรูในปัจจุบัน สังเวยชีวิตเด็กชายหญิง269 คนในพิธีกรรมช็อกโลก สาเหตุของการบูชายัญใน อารยธรรมโบราณ นีี้ยังเป็นปริศนา

อารยธรรมโบราณ
นักโบราณคดี กาเบรียล เปรเอโต (ถือแปรง นอนเท้าข้อศอก) กับจอห์น เวราโน (ซ้ายสุด ถือกล้อง) กับทีมงาน ทำการขุดสุสานตื้นๆในอวนชากีโต ไม่นานหลังการขุดสำรวจที่นี่แล้วเสร็จ พวกเขาก็พบแหล่งบูชายัญเด็กแห่งที่สองซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
อารยธรรมโบราณ
ซากของเด็กสองคนซึ่งอาจเป็นชายและหญิงนอนเคียงข้างกันในหลุมฝังศพหมู่ขนาดใหญ่ริมชายฝั่งอันแห้งแล้งทางเหนือของเปรู นี่คือส่วนหนึ่งของเด็ก 269 คนที่ถูกบูชายัญและฝังไว้เมื่อราว ค.ศ. 1450 ในแหล่งขุดค้นสองแห่งใกล้ชันชัน เมืองหลวงโบราณของชาวชิมู

เหยื่อบูชายัญวัยเยาว์ผู้นี้นอนอยู่ในสุสานตื้นๆในลานจอดรถร้างที่มีขยะกล่นเกลื่อน นี่คือวันศุกร์ก่อนเทศกาลอีสเตอร์ ณ อวนชากีโต หมู่บ้านเล็กๆ ริมชายฝั่งทางเหนือของเปรู

สิ่งแรกที่ปรากฏคือส่วนสันกะโหลกของเด็กซึ่งด้านบนมีปอยผมสีดำ ผู้ขุดเปลี่ยนอุปกรณ์จากเกรียงเป็นพู่กัน ค่อยๆปัดทรายร่วนๆออก เผยให้เห็นกะโหลกส่วนที่เหลือและกระดูกไหล่ที่ยื่นทะลุผ้าฝ้ายห่อศพเนื้อหยาบออกมา ท้ายที่สุด ซากตัวยามาขนสีทองขนาดเล็กที่ขดอยู่ข้างร่างเด็กน้อยก็ปรากฏให้เห็น

กาเบรียล เปรเอโต อาจารย์ด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติทรูคีโยมองลงไปในหลุม  พยักหน้าแล้วประกาศว่า “เก้าสิบห้า” เขากำลังนับจำนวนเหยื่อ และร่างนี้ก็ได้หมายเลข E95 เป็นร่างที่ 95 ที่ขุดขึ้นมาตั้งแต่เขาเริ่มสำรวจหลุมฝังศพหมู่เมื่อปี 2011  ตัวเลขอันน่าพรั่นพรึงจากแหล่งบูชายัญนี้และอีกแหล่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เพิ่มจำนวนศพเด็กที่พบเป็น 269 ร่าง กับผู้ใหญ่อีกสามร่าง  ทั้งหมดเสียชีวิตเมื่อกว่า 500 ปีก่อนในยัญพิธีที่เตรียมการอย่างประณีตชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อารยธรรมโบราณ

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดคิดเลยครับ” เปรเอโตบอกพลางส่ายศีรษะอย่างฉงน นักโบราณคดีและคนเป็นพ่อผู้นี้พยายามทำความเข้าใจการค้นพบชวนหดหู่ ณ แหล่งขุดค้นที่ชื่อ อวนชากีโต-ลาสยามาส

อารยธรรมโบราณ
เพชฌฆาตชาวชีมูรอเหยื่ออายุน้อยในฉากการสังหารหมู่ ณ อวนชากีโต จากจินตนาการของศิลปิน นักโบราณคดีไม่พบหลักฐานว่าเด็กถูกมัด แต่พวกเขาอาจดื่มชิชา หรือเบียร์ข้าวโพด เพื่อให้เซื่องซึมและเชื่อฟังในพิธีกรรมอันน่าพรั่นพรึงนี้
อารยธรรมโบราณ
ศิราภรณ์หรือเครื่องประดับศีรษะทำจากขนนกแก้วมาคอว์บนกะโหลกเด็กผมยาวประบ่าที่ถูกบูชายัญ นักวิจัยบอกว่าเครื่องประดับศีรษะบ่งชี้สถานะของเด็กคนนี้ว่า อาจมาจากครอบครัวชนชั้นสูง

ที่ผ่านมา นักโบราณคดีพบหลักฐานการบูชายัญมนุษย์ในหลายอารยธรรมโบราณของโลก เหยื่ออาจมีจำนวนหลายร้อยราย โดยมักเป็นเชลยสงคราม ผู้เสียชีวิตจากพิธีการต่อสู้ หรือคนรับใช้ที่ตายตกตามนาย เอกสารโบราณต่างๆ เช่น คัมภีร์ฮีบรู ยืนยันว่ามีการบูชายัญเด็กจริง แต่หลักฐานการสังหารหมู่เด็กที่ชัดเจนในบันทึกทางโบราณคดีหาได้ยากยิ่ง ก่อนหน้าการค้นพบที่อวนชากีโต แหล่งโบราณคดีที่มีการบูชายัญเด็กที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จักในทวีปอเมริกาและอาจทั่วโลกด้วย คือวิหารเตมโพลมายอร์ในเตนอชติชลาน เมืองหลวงของอัซเต็กหรือเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน ซึ่งมีเด็ก 42 คนถูกสังหารในศตวรรษที่สิบห้า

จากนั้นเมื่อปี 2011 เจ้าของร้านพิซซาในเมืองเล่าเรื่องน่าตกใจให้เปรเอโตฟังว่า ลูกๆของเขากับพวกหมาในย่านนั้นไปพบกระดูกมนุษย์โผล่ออกมาจากกองทรายในที่จอดรถร้างแห่งหนึ่ง เขาขอให้เปรเอโตช่วยไปดูให้

ทีแรก เปรเอโตคิดว่าน่าจะเป็นแค่สุสานสักแห่งที่ถูกลืม แต่เมื่อพบร่างเด็กหลายคนถูกห่อด้วยผ้า ซึ่งจากการตรวจหาอายุด้วยวิธีคาร์บอนกัมมันตรังสีพบว่า ร่างเหล่านั้นมีอายุอยู่ในราวปี ค.ศ. 1400 ถึง 1450 เขาก็ตระหนักว่าการค้นพบครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากนัก

อารยธรรมโบราณ
ไมเคิล สปาโน เจ้าของร้านพิซซ่าในท้องถิ่น ถือภาพหนึ่งในบรรดาเด็กๆ ที่ถูกขุดค้นเป็นกลุ่มแรกๆ ที่อวนชากีโต สปาโนรบเร้าให้กาเบรียล เปรเอโต นักโบราณคดี รุดมาดูกระดูกที่กำลังผุกร่อนในลานจอดรถร้างตรงข้ามบ้าน และเร่งให้เขาขุดค้นตรงบริเวณดังกล่าว

เปรเอโตสังเกตว่า การฝังดังกล่าวไม่ใช่เป็นการฝังตามแบบฉบับของชาวชิมู  หลายร่างยังมีลูกของยามาหรืออาจเป็นอัลปากาฝังอยู่ด้วย  สัตว์เฉพาะถิ่นในเทือกเขาแอนดีสนี้ถือเป็นสินทรัพย์ล้ำค่าที่สุดของชาวชิมูเพราะเป็นทั้งแหล่งอาหาร เส้นใย และพาหนะสำคัญ  และท้ายสุดก็พบว่าร่างของเด็กและสัตว์จำนวนมากมีรอยผ่าชัดเจนที่กระดูกสันอกและซี่โครง

เพื่อทำความเข้าใจกับเงื่อนงำเหล่านี้ เปรเอโตติดต่อจอห์น เวราโน นักชีวโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยทูเลน เวราโนมีประสบการณ์หลายสิบปีในการวิเคราะห์หลักฐานทางกายภาพของการใช้ความรุนแรงในพิธีกรรมแถบเทือกเขาแอนดีส รวมถึงการสังหารหมู่เด็กชายและผู้ใหญ่ชาวชิมูราว 200 คนในศตวรรษที่สิบสาม ณ แหล่งโบราณคดีปุนตาโลบอส

หลังตรวจสอบร่างของเด็กๆที่อวนชากีโต เวราโนก็ยืนยันว่าทั้งเด็กและสัตว์ถูกฆ่าโดยเจตนาในลักษณะเดียวกัน นั่นคือมีรอยผ่าขวางที่กระดูกสันอก ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะทำเพื่อควักหัวใจ  เขาพบว่าตำแหน่งรอยผ่าตรงกระดูกนั้นเหมือนกันหมด และรู้สึกทึ่งเป็นพิเศษที่ไม่พบ “ร่องรอยความลังเล” ของคมมีดบนกระดูก ทั้งตอนลงมีดและตอนชักมีดขึ้นเลย “เป็นการฆ่าเพื่อประกอบพิธีกรรมที่เป็นระบบมากๆครับ” เขาบอก

อารยธรรมโบราณ
เหยื่อส่วนใหญ่เสียชีวิตจากรอยตัดขวางบนหน้าอกซึ่งอาจทำเพื่อควักหัวใจออกมา และฝังร่างโดยห่อด้วยผ้าห่อศพเรียบๆ ส่วนกลางของกระดูกสันอกของเด็กถูกตัดขาดสองท่อน ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนของการสังหารอย่างเป็นระบบอันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม
อารยธรรมโบราณ
ดานิลา สาวน้อยวัยสิบสี่ปี อุ้มลูกอัลปากาใกล้อวยลิลาสในที่ราบสูงทางเหนือของเปรู การวิเคราะห์โครงกระดูกของเด็กๆที่ถูกบูชายัญเผยว่า พวกเขามีอายุตั้งแต่ห้าถึง 14 ปีและมาจากดินแดนต่างๆ ทั่วจักรวรรดิชิมู รวมทั้งเขต ที่ราบสูงด้วย

เงื่อนงำสำคัญหนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้นที่อวนชากีโตคือชั้นโคลนโบราณที่แห้งหนาซึ่งกลบฝังเหยื่อสังเวยไว้  โคลนที่อยู่ลึกหมายถึงฝนตกหนัก และในบริเวณริมชายฝั่งแห้งแล้งทางเหนือของเปรูเช่นนี้ “ฝนตกหนักขนาดนั้นมักเกิดเฉพาะเวลาที่มีปรากฏการณ์เอลนีโญครับ” เปรเอโตอธิบาย

ประชากรในชันชัน เมืองหลวงของชาวชิมู อยู่ได้ด้วยการทำประมงชายฝั่งและระบบชลประทานที่จัดการอย่างรอบคอบ ซึ่งทั้งสองอย่างอาจมีปัญหาหากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดฝนตกหนักจากสภาวะอากาศ  นักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีว่า เอลนีโญที่เกิดอย่างรุนแรงอาจสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของอาณาจักรชิมู นักบวชและผู้นำอาจสั่งให้จัดบูชายัญหมู่ เป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะขอให้เหล่าเทพเจ้าช่วยยุติฝนและความหายนะ

“ด้วยเด็กจำนวนขนาดนี้ สัตว์จำนวนเท่านี้ นี่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่ดำเนินการโดยรัฐครับ”  เปรเอโตบอก

อารยธรรมโบราณ
นักศึกษาโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติทรูคีโยเตรียมทำความสะอาดและทำระเบียนกะโหลกจากหลุมฝังศพหมู่ที่อวนชากีโต สภาพอากาศแห้งแล้งทางเหนือของเปรูช่วยรักษาสภาพศพซึ่งอยู่ในสภาพดีอย่างผิดวิสัยให้กลายเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติ

การสังเวยราคาแพงนี้ทำให้ฝนตกหนักจนหลากท่วมบรรเทาลงหรือไม่ เราไม่มีทางรู้ได้ แต่เหตุการณ์  ที่ชวนหดหู่นี้อาจเผยให้เห็นช่วงปีท้ายๆอันสิ้นหวังของจักรวรรดิที่ใกล้สิ้นสูญ

เพราะภายในช่วงเวลาไม่กี่ทศวรรษ นักรบอินคาจะมาถึงกำแพงเมืองชันชันและกำจัดชาวชิมูออกไป


อ่านเพิ่มเติม

เยือนดินแดนซึ่งคนตายไม่เคยหลับใหลบนเกาะซิซิลี

 

 

 

 

 

Recommend