หลังการรบอย่างดุเดือดหลายสัปดาห์บนเกาะ อิโวจิมะ แม้แต่นาวิกโยธินผู้แข็งแกร่งจากประสบการณ์รบยัง “นั่งอยู่บนพื้น เอาหน้าซบมือ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจากก้นบึ้งหัวใจ”
ทุกวันนี้ บิล มอนต์โกเมอรีได้ยินเสียงได้ไม่ดีนัก หูขวาของเขาหนวก ส่วนหูซ้ายก็ย่ำแย่ กระนั้น ทหารผ่านศึกวัย 95 ปีผู้นี้กลับยังคงได้ยินสรรพเสียงของสงครามที่ดังกระหน่ำโสตประสาทของตนเองในวัยยี่สิบปี ตอนที่เขากำลังสู้รบบน อิโวจิมะ เกาะขรุขระขนาด 20.71 ตารางกิโลเมตรรูปทรงคล้ายพอร์กชอปแห่งหนึ่งในแปซิฟิก และยังคงจำได้ถึงความสุขสุดขีดเมื่อเขาเห็นผืนธงชาติสหรัฐฯ ชูอยู่บนยอดเขาสุริบาจิ
ในวันที่ห้าของการรบ โจ โรเซนธอล ผู้เป็นช่างภาพ ได้ถ่ายภาพชื่อดังของนาวิกโยธินหกนายปักธงบนยอดเขาซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของอิโวจิมะแห่งนี้ ในเหตุการณ์ซึ่งอาจโด่งดังที่สุดในสมรภูมิฝั่งแปซิฟิก และตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐฯ อยู่เป็นชั่วนิรันดร์
“มันเป็นวันที่ห้าหลังจากเรายกพลขึ้นบกครับ” มอนต์โกเมอรีย้อนความ “ผมกำลังนอนหมอบอยู่คนเดียวบนทางลาดชันตรงขอบสนามบินแห่งหนึ่งตอนที่ผมได้ยินเสียงแตรจากเรือบางลำ แล้วพวกนาวิกฯ ที่อยู่ในหลุมบุคคล (foxholes) ก็เริ่มเชียร์”
เมื่อเขามองขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นได้จากทั่วทั้งเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ความตื่นเต้นก็แล่นผ่านร่างกายที่เหนื่อยล้าจากสงครามของนาวิกโยธินผู้นี้ “ผมมองขึ้นไป ธงมันอยู่ตรงนั้น! ความรู้สึกมันยอดเยี่ยมมาก!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ “ผมมีความสุขที่สุดเลยครับ!” มอนต์โกเมอรีกล่าว “ผมรู้ว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เพื่อนๆ ของพวกเราล้มตายกันไปมากมาย แต่เราก็รอดมาได้
เพียงแต่มันยังไม่จบ ไม่ไช่ในเร็ววัน ยุทธการบนเกาะภูเขาไฟซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวไป 1,223 กิโลเมตร ซึ่งในตอนแรกคาดการณ์ว่าจะเป็นปฏิบัติการกวาดล้างความยาวเพียงสามถึงหกวันครั้งนี้ จะดำเนินไปอย่างดุเดือดอีกกว่าหนึ่งเดือน และเหล่านาวิกโยธินผู้ยกพลขึ้นบกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1945 พร้อมทั้งทหารบก เรือ และอากาศซึ่งมีจำนวนรวมทั้งหมดกว่า 110,000 นายต้องบาดเจ็บล้มตายไปมากถึง 26,000 นายในการรบที่กินเวลา 37 วันในครั้งนี้
ส่วนทหารญี่ปุ่น ฝ่ายตั้งรับจำนวน 21,000 นายซึ่งรอดจากการยิงถล่มจากกองเรือสหรัฐฯ ก่อนการยกพลขึ้นบกนานนับหลายวันสู้กลับอย่างดุเดือดเกินคาด และยิงถล่มฝ่ายรุกจากเครือข่ายอุโมงค์อันซับซ้อน เสียชีวิตลงเกือบทั้งหมดและถูกจับเป็นเพียง 216 นาย ตัวมอนต์โกเมอรีเองเป็นหนึ่งในนาวิกโยธินเพียงไม่กี่นายที่ร่วมสมรภูมิรบแห่งนี้และเผชิญกับวันนองเลือดตั้งแต่เริ่มจนจบ จากนาวิกฯ 50 นายในหน่วยของเขา มีเพียงราว 6 คน เท่านั้นที่รอดกลับมาได้ “ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผมไม่ถูกยิงครับ” เขากล่าว “ผมรู้สึกผิด แต้ก็รู้สึกขอบคุณด้วย”
เขาโน้มตัวมาข้างหน้า เคาะนิ้วบนโต๊ะในบ้านพักคนวัยเกษียนใกล้แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ดูเหมือนเลอา ภรรยาของเขาซึ่งครองคู่กันมากว่า 70 ปี จะอยากยื่นมือมาจับมือที่เขม็งตึงของเขา แต่เธอเพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเขา เขายิ้มตอบและผ่อนคลายลงเล็กน้อย
สำหรับมอนต์โกเมอรี มันคือเดือนแห่งการหลบหนีความเจ็บปวด ในค่ำคืนหนึ่ง เขามุดตัวหลบในร่องน้ำตื้นๆ แห่งหนึ่งโดยไม่กล้าโงหัว เนื่องจากเกรงว่าจะถูกกระสุนของเหล่านาวิกโยธินซึ่งอยู่ในหลุมซึ่งอยู่ด้านหลังออกไปไม่กี่เมตรระเบิดสมอง ในคืนเดียวกัน ระเบิดมือที่เหล่าทหารญี่ปุ่นปาใส่หลุมฯ ตกลงก่อนถึงเป้าหมายและระเบิดอยู่รอบๆ ตัวเขา “เมื่อตอนเช้ามาถึง นาวิกฯ พวกนั้นตะลึงไปเลยครับ” เขากล่าว “พวกเขาบอกว่า ‘เรานึกว่านายตายไปแล้ว!’ ”
นั่นไม่ไช่ครั้งเดียวที่ความอลหม่านของสงครามเกือบจบชีวิตของเขาลง อีกวันหนึ่ง เครื่องบิน พี-51 มัสแตงเข้าใจผิดว่าเขาซึ่งกำลังหมอบอยู่ในตำแหน่งเป็นทหารญี่ปุ่น และทิ้งระเบิดใส่เขา “ระเบิดมันตกลงมาข้างๆ หลุมของผมเลยครับ แต่มันไม่ระเบิด แล้วก็กระดอนผ่านหน้าพวกเราไปยังพื้นที่ของฝ่ายญี่ปุ่นก่อนจะระเบิดขึ้น” เขารอดมาได้ แต่เดือดดาลอย่างที่สุด
“ผมยิงมัสแตงลำนั้นไปสักพักเล็กๆ” เขาสารภาพ “ตั้งแต่นั้นมา เมื่อผมเจอนักบินผ่านศึก ผมจะถามเขาว่า ‘นายได้ไปรบที่อิโวจิมะหรือเปล่า?’ แต่ผมไม่เคยพบตัวนักบินผู้นั้น”มอนต์โกเมอรีกล่าวว่านั่นคือเวลาที่สติของเขาเฉียดใกล้ความบ้าคลั่งมากที่สุดในสนามรบหฤโหดแห่งนี้ แต่คนอื่นไม่โชคดีเช่นนั้น
“ผมเห็นนาวิกโยธินที่นั่งอยู่บนพื้น เอาหน้าซุกมือ แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจากก้นหัวใจครับ” เขากล่าว” “สติของพวกเขามันหลุดไปแล้ว จิตใจของพวกเราหลายคนกลับกลายเป็นด้านชา ไม่หยี่ระต่อความสยองใดๆ”
“เมื่อช่วงท้ายของการรบ พวกเราได้รับคำสั่งให้ไปเก็บศพนาวิกฯ มาวางไว้ที่ริมถนน เพื่อให้รถบรรทุกมารับไปฝังที่สุสาน หลายศพอยู่ตรงนั้นมาราวๆ หนึ่งสัปดาห์แล้ว หลายคนจับแขนและขาของศพ และเมื่อพวกเขาทำแบบนั้น อวัยวะพวกนั้นมันก็หลุดออกมา”
เลอาตกใจกับคำพูดของสามีของเธอ “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้บางเรื่องเลยค่ะ” เธอกล่าวอย่างแผ่วเบา
“มันไม่ไช่ภาพที่น่าชม” สามีของเธอกล่าว ตาของเขาสบตาของเธอ และหัวเราะ “พูดกันตามจริงเลยครับ ผมจำไม่ได้เลยว่าได้เห็นภาพที่น่าชมบนอิโวะ ยกเว้นเรือที่มารับพวกเราออกจากเกาะ”
แปล ภาวิต วงษ์นิมมาน