วิธีบันทึกภาพพายุเพลิง

วิธีบันทึกภาพพายุเพลิง

“ปัจจุบัน ไฟป่าที่เผาผลาญพื้นที่แถบตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

ลุกไหม้ต่างไปจากเดิม สำหรับช่างภาพภูมิทัศน์คนหนึ่ง การบันทึกภาพ

ผลกระทบจากไฟป่าเป็นต้องใช้วิธีการใหม่เช่นกัน”

ไฟป่าสร้างบาดแผลและเผาผลาญพื้นที่แถบตะวันตกของสหรัฐอเมริกามาเนิ่นนาน  แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้วอย่างแดเนียล สเวน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแอนเจลิส หรือยูซีแอลเอ ไฟป่าในปัจจุบันแตกต่างไปจากเดิมมาก มันเคลื่อนที่และขยายตัวด้วยอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา 

ในภาพถ่ายทั่วไปของผาแคทีดรัลร็อกส์ในอุทยานแห่งชาติโยเซมิที รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ชมจะเห็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว แต่ในภาพถ่ายความร้อนภาพนี้ของนักสำรวจเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก แมตต์ แบล็ก ลำต้นที่เรียวเล็กและสว่างของต้นไม้ที่ตายแล้วซึ่งถ่ายด้วยความร้อนแทนแสง ปรากฏเด่นชัด

ดูตัวอย่างอภิมหาไฟป่าที่เรียกว่า “กิกะไฟร์” (gigafire) ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2020 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การบันทึกไฟป่าสมัยใหม่ของรัฐที่ไฟเผาผลาญพื้นที่มากกว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร หรือราว 2.5 ล้านไร่  แม้ไฟป่าขนาดนี้จะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่การทำลายล้างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านี้มาก่อน “ย้อนหลังไปสองร้อยปีก่อน เราอาจเห็นไฟป่าขนาดนี้เป็นครั้งคราวในแคลิฟอร์เนีย” สเวนกล่าวและเสริมว่า “แต่ไฟไม่ได้เผาผลาญพื้นที่ 4,000 ตารางกิโลเมตรภายในไม่กี่วัน แต่น่าจะต้องใช้เวลาหลายเดือนครับ”

เมื่อไม่นานมานี้ สเวนติดตามไฟป่าบริดจ์ (Bridge Fire) ซึ่งเผาผลาญพื้นที่ตอนเหนือของลอสแอนเจลิสเมื่อปี 2024 โดยใช้ภาพถ่ายความร้อนจากดาวเทียม บนหน้าจอ เขาเห็นจุดสีดำบนแผนที่ซึ่งแสดงพื้นที่ที่ไฟไหม้ด้วยอุณหภูมิสูงกว่าหลายร้อยองศาเซลเซียส อุณหภูมิระดับนี้ร้อนจน “คุณพบได้ในภูเขาไฟระเบิดหรือไฟป่าครับ”

หลังจากไฟป่าแคลดอร์ (Caldor Fire) เผาผลาญพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเอลโดราโดไปราว 700 ตารางกิโลเมตร หรือราว 437,500 ไร่ เมื่อปี 2021 บริษัทรับตัดซากต้นไม้เข้ามาตัดต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ รอยล้อรถบรรทุกของบริษัทสว่างดูอบอุ่นตัดกับตอไม้เย็นๆ จากฝนที่ตกเมื่อไม่นานมานี้
ปัจจุบัน สนซีคัวยายักษ์ได้รับการคุ้มครองจากการตัดไม้ในบางพื้นที่ของรัฐบาลกลางและชนพื้นเมืองในเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา แต่ตอไม้อายุหลายสิบปีก็ยังคงกระจายอยู่ทั่วผืนป่า ปัจจุบัน มนุษย์คุกคามต้นไม้เหล่านี้ทางอ้อม ไฟป่าเผาผลาญต้นสนซีคัวยายักษ์ที่โตเต็มที่ในภูมิภาคนี้ไปแล้วร้อยละ 13 ถึง 19 ระหว่างปี 2020 ถึง 2021

ภายในเวลาเพียงวันที่สอง ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ราว 180 ตารางกิโลเมตร อัตราการไหม้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเกิดขึ้นกับไฟไหม้หญ้าที่ลามไปทั่วท้องทุ่งบนที่ราบ แต่นี่เป็นไฟป่าที่ไหม้บนเทือกเขาสูงชันที่สุดเทือกหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือ 

นักวิจัยติดตามไฟป่าด้วยความแม่นยำโดยใช้ดาวเทียมมานานกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในทางธรณีวิทยา แต่แนวโน้มที่พวกเขาเห็นนั้นชัดเจน  กล่าวคือไฟป่ามีความร้อนสูงกว่า เผาไหม้เร็วกว่า และทำลายทรัพย์สินมากกว่า “ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เกือบทุกปีในแคลิฟอร์เนียมีเมืองอย่างน้อยหนึ่งเมือง หรือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ถูกไฟป่าทำลายล้างจนหมดสิ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ” สเวนกล่าว

ในภาพความร้อนเหล่านี้ วัตถุร้อนที่สุดจะเห็นว่าสว่างที่สุด ขณะที่วัตถุเย็นที่สุดจะเห็นว่ามืดที่สุด ในภาพนี้ เบื้องหลังความมืดอันหนาวเย็นของแม่น้ำเมอร์เซดในโยเซมิที แสงแดดร้อนๆ ยามเช้าส่องผ่านยอดสนลงมา
ไม้ที่รวบรวมได้จากไฟป่าแคลดอร์มีชะตากรรมแตกต่างกันสองแบบรออยู่ ท่อนไม้ที่เรียงซ้อนกันในแนวนอนจะถูกขาย ส่วนท่อนไม้ที่เรียงในแนวตั้งจะถูกเผาในพื้นที่ซึ่งตอนนี้ถูกถางจนโล่งเตียน

เมื่อแมตต์ แบล็ก นักสำรวจเนชั่นแนล จีโอกราฟิก และช่างภาพ เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดธรรมดาเหล่านี้เกิดขึ้นใกล้บ้านของเขาในเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นเทือกเขาที่มีความยาวกว่า 640 กิโลเมตร ทอดตัวไปตามแนวยาวของรัฐ เขาจึงตอบรับความท้าทายในการถ่ายภาพผลพวงของไฟป่า แต่ในฐานะคนที่ถ่ายภาพขาวดำ เขากังวลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบที่เห็นชัดเจน

ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีใครถ่ายภาพขาวดำภูมิทัศน์ของเซียร์ราเนวาดาได้โดดเด่นเท่าแอนเซล แอดัมส์ อีกแล้ว ผลงานของเขาเป็นส่วนสำคัญในขบวนการอนุรักษ์สมัยใหม่ โดยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลายรุ่นร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องพื้นที่ธรรมชาติอันล้ำค่า แต่การถ่ายภาพภูมิทัศน์ด้วยวิธีที่ชวนให้นึกถึงแอดัมส์ “ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าตรงกับช่วง  เวลานั้น” แบล็กกล่าว ภาพถ่ายของแอดัมส์ถ่ายทอดความงามไร้ที่ติของสถานที่ซึ่งจะงดงามตลอดไป สถานที่เหล่านั้น จะยังคงบริสุทธิ์อยู่ได้หากเราปกป้องมันไว้ แต่หายนะจากสภาพภูมิอากาศได้ทำลายภาพในอุดมคตินั้นลงแล้ว

ในสายตามนุษย์ กิ่งไม้นี้กลมกลืนไปกับหินแกรนิตสีดำเบื้องล่างในป่าสงวนแห่งชาติซีคัวยา แต่ในภาพถ่ายความร้อน กิ่งไม้ดูโดดเด่นสะดุดตา “มันเป็นช่วงเวลาอันงดงามของความกระจ่างชัด ณ ปลายขอบของหายนะทั้งมวล” แบล็กกล่าว

ดังนั้น แบล็กจึงหันมาใช้เครื่องมือที่เหวกแนว นั่นคือกล้องถ่ายภาพความร้อนสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วใช้ตรวจสอบเครื่องหลอมโลหะ ในขณะที่กล้องถ่ายภาพทั่วไปใช้แสงสร้างภาพ กล้องถ่ายภาพความร้อนใช้ความร้อน วัตถุที่ร้อนที่สุดในภาพถ่ายความร้อนมักปรากฏเป็นสีขาวสว่าง วัตถุที่เย็นที่สุดจะปรากฏเป็นสีดำสนิท

นอกเหนือจากเลนส์และเซ็นเซอร์เฉพาะแล้ว กล้องที่ถือด้วยมือของแบล็กยังค่อนข้างเหมือนกล้องทั่วไป แต่เมื่อใช้ถ่ายโลกธรรมชาติ ภาพความร้อนที่ได้กลับสวยเกินคาด แต่ก็แฝงความรู้สึกน่าพรั่นพรึงคล้ายลางร้ายด้วยเช่นกัน กล่าวคือเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอถึงสิ่งที่ทำให้เกิดภาพเช่นนั้น ชั้นบรรยากาศของเราเก็บกักความร้อนไว้มากกว่าในอดีต และความร้อนบางส่วนอาจแผ่ออกมาในแต่ละภาพ “ภาพถูกสร้างขึ้นจากความร้อนที่มาจากที่อื่นครับ มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในท้องฟ้าด้านบน มาจากท่อไอเสียในเมืองข้างล่าง” แบล็กกล่าว

กองหินบะซอลต์ในอนุสรณ์สถานแห่งชาติเดวิลส์โพสต์ไพล์ถูกถ่ายภาพมานับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงโดยแอนเซล แอดัมส์ด้วย ที่นี่เป็นสถานที่โดดเด่นที่แบล็กต้องการตีความใหม่ในรูปแบบภาพถ่ายความร้อน “ผมทึ่งกับคุณสมบัติที่เย็นยะเยือกของหินสีดำมากครับ” เขากล่าว

การพกกล้องถ่ายภาพความร้อนเดินไปในป่าที่ถูกไฟเผาผลาญให้ความรู้สึกเหมือนได้ค้นพบความจริง “สิ่งที่ผมรู้สึกทึ่งคือภาพที่ได้จากต้นไม้ที่ตายแล้ว” เขากล่าว ลำต้นไหม้เกรียมสีดำกักเก็บความร้อนไว้ ดังนั้น “เมื่อคุณมองผ่านกล้องถ่ายภาพความร้อน พวกมันจะกลายเป็นจุดที่สว่างที่สุดในภูมิทัศน์” ต้นไม้กลับมาดูเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง แต่เป็นชีวิตที่เหมือนวิญญาณ เป็นร่างเรืองๆ ท่ามกลางเศษซากความเสียหาย

เรื่อง ไบรอัน เรสนิก

ภาพถ่าย แมตต์ แบล็ก 

แปล ปณต ไกรโรจนานันท์


อ่านเพิ่มเติม : มองโลกจากเบื้องบนและเบื้องล่าง

Recommend