ยูเอฟโอ (Unidentified flying objects – UFO) หรือวัตถุบินลึกลับที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้กลับมามีกระแสอีกครั้ง หลังมีผู้แจ้งเบาะแสว่าสหรัฐอเมริกาได้ค้นพบซากยานเอเลี่ยน
แม้ว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอนปฏิเสธรายงานดังกล่าว แต่สภาคองเกรสหรือรัฐสภาสหรัฐฯ ยังคงจับตามองเรื่องนี้ต่อไป กระทั่งในเดือนมิถุนายน คณะกรรมาธิการตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (The House Oversight Committee) ประกาศจัดการไต่สวนเกี่ยวกับ ยูเอฟโอ (UFO) หรือที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกว่า ปรากฎการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ (Unidentified Aerial Phenomena – UAPs) โฆษกคณะกรรมาธิการกล่าวว่า “นอกเหนือจากเบาะแสที่ได้รับแจ้งแล้ว รายงานยังเผยถึงปรากฎการณ์ผิดปกติที่ระบุไม่ได้อีกด้วย”
รายงานดังกล่าวได้รับการเปิดเผยมากว่าหลายทศวรรษแล้ว การพบเห็นและการสืบสวนเกี่ยวกับ ยูเอฟโอ ยุคใหม่เริ่มต้นขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับรายงานจำนวนมากที่ไม่สามารถอธิบายได้
ในช่วงแรกของการสืบสวน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ไม่ได้คำนึงถึงมนุษย์ต่างดาวเลย เนื่องจากในขณะนั้นเป็นช่วงที่สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียตกำลังคุกกรุ่น ผู้นำสหรัฐฯ จึงกังวลว่า ยูเอฟโอ (UFO) เป็นภัยคุกคามจากประเทศคู่แข่งมากกว่า และแม้ว่าจะมีการพบเห็นยูเอฟโอและมีการสืบสวนรายงานเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฎการรุกรานจากมนุษย์ต่างดาวเลย
คำถามคือ เราจะติดตามเหตุการณ์ทั้งหมดนั่นได้ยังไง? และนี่คือลำดับเวลาของประวัติศาสตร์ยูเอฟโอที่เราได้รวบรวมไว้ทั้งหมด
1947 – 1969: โครงการบลูบุค
กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก่อตั้งโครงการบลูบุค (Project Blue Book) โดยรวบรวมรายงานการค้นพบ UFO กว่า 12,618 รายการ ไม่ว่าจะเป็นแสงลึกลับ วัตถุ หรือเรดาร์ปริศนาซึ่งได้รับรายงานจากเหล่าทหารอากาศ นักบิน นักอุตุนิยมวิทยา นักดาราศาสตร์ และจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ
แต่แล้วในปี 1969 โครงการดังกล่าวก็ปิดฉากลง หลังจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโคโลราโดสรุปว่า ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถระบุได้ว่ายูเอฟโอมาจากดาวอื่น และการพบเห็นยูเอฟโอส่วนใหญ่สามารถอธิบายได้ด้วยปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ หรืออาจเป็นการจัดฉากขึ้น “พวกเราจึงสามารถสรุปได้ว่า การศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอตลอด 21 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เพิ่มพูนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของพวกเราเลย” “แม้จะสืบสวนต่อไปก็คงจะไม่ได้อะไร” เอ็ดเวิร์ด ยู คอนดอน (Edward U. Condon) หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
กระนั้น ข่าวลือการพบเห็นยูเอฟโอยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ก่อกวนใจเหล่าเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน จนกระทั่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ประกาศในเอกสารข้อเท็จจริงเมื่อปี 1985 ว่า “ขณะนี้ยังไม่เคยมีการพบเห็นมนุษย์ต่างดาวหรือปรากฏวัตถุนอกโลกในฐานทัพอากาศไรท์แพตเตอร์สันเลย (Wright-Patterson Air Force Base)” ซึ่งฐานทัพดังกล่าวเป็นที่ตั้งหลักของสำนักงานการสืบสวนสอบสวนยูเอฟโอ
1995: ความสนใจจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ
เมื่อรายงานคอนดอนไม่อาจยุติความสงสัยเรื่องยูเอฟโอได้ กลุ่มคนที่เรียกว่า นักยูเอฟโอ (UFOlogists) ใช้เวลาหลายสิบปีต่อมายื่นคำร้องต่อหน่วยงานรัฐบาลกลางให้เปิดเผยเกี่ยวกับการพบเห็นยูเอฟโอ
ในปี 1995 นักธุรกิจนาม โรเบิร์ต บิเกโล (Robert Bigelow) จัดการชุมนุมเล็กๆ ในลาสเวกัสเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ต่างดาว เรียกว่ากลุ่ม National Institute for Discovery Science โดยสมาชิกประกอบด้วยอดีตนักบินอวกาศจำนวน 2 คน ได้แก่ เอ็ด มิทเชลล์ (Ed Mitchell) และแฮร์ริสัน ชมิตต์ (Harrison Schmitt) ร่วมกับแฮร์รี่ รีด (Harry Reid) ซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตแห่งเนวาดา
รีดกล่าวว่า “หลายคนบอกว่ามันจะทำลายอาชีพผม” แต่กลับกัน เขากลายเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนขับเคลื่อนการสืบสวนเรื่องราวของยูเอฟโอของสหรัฐฯ
มนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลี่ยน มีอยู่จริงหรือไม่? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีการปกปิดข้อมูล?
2004: เผชิญหน้ายานลึกลับในซานดิเอโก
เดือนพฤศจิกายน ปี 2004 นักบินนาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 คนได้รับคำสั่งให้สกัดกั้นยานลึกลับลำหนึ่งในระหว่างการฝึกซ้อม พวกเขาพบเห็นและบันทึกภาพยานลำหนึ่งมีรูปทรงวงรีที่ไม่คุ้นตา ความยาวประมาณ 12 เมตร ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากเมืองซานดิเอโกประมาณ 160 กิโลเมตร แต่ยานลำนั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกเขาจะบินเขาไปใกล้ “ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรกันแน่” “ยานลำนั้นไม่มีควันไอเสีย ปีก หรือใบพัด แล้วยังเร็วกว่า F-18 ของเราอีกด้วย” นาวาโทเดวิด ฟราเวอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบินขณะนั้นกล่าว
2007: การสืบสวนครั้งใหม่ของเพนตากอน
กระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนได้ก่อตั้งโครงการระบุตัวตนภัยคุกคามจากอากาศยานขั้นสูง (Advanced Aerospace Threat Identification Program หรือ AATIP) เพื่อตรวจสอบการพบเห็นยูเอฟโอดังกล่าวด้วยการสนับสนุนจากรีด ซึ่งกลายเป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ
ลูอิส เอลิซอนโด (Luis Elizondo) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทางทหารร่วมกับบริษัทวิจัยด้านการบินและอวกาศบริหารโดยมีบิเกโลเป็นผู้ดำเนินการวิจัยในโครงการดังกล่าว อีกทั้งยังมีการระบุข้อความในรายงานสรุปว่า “สิ่งที่เคยปรากฏในนิยายวิทยาศาสตร์กลับกลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน”
2014: ประจันหน้ากัน ณ ชายฝั่งตะวันออก
ในปี 2014 มีการรายงานถึงการพบยูเอฟโอเพิ่มขึ้น คือ การได้เผชิญหน้ากับยานลึกลับอีกครั้ง ซึ่งนักบินนาวิกโยธินได้บันทึกวิดีโอและรายงานถึงการพบอากาศยานลึกลับในระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล และอาจมีความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วเหนือแสงใกล้กับบริเวณรัฐฟลอริดาและรัฐเวอร์จิเนีย อีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ นักบินคนหนึ่งรายงานถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบปะทะกับยานลึกลับ ซึ่งในภายหลังได้ให้สัมภาษณ์ในรายการวาไรตี้ 60 Minutes ของช่อง CBS ว่า เขาได้พบเห็นอากาศยานที่ไม่สามารถอธิบายลักษณะได้ เขากล่าวเพิ่มอีกว่า “มันมีการหมุน มีเรื่องของระดับความสูง มีความรวดเร็ว แต่บอกตรงๆว่าผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
หรือจะเป็นไปได้ไหมว่ายานลำนั้นจะเป็นจะเป็นยานตรวจการณ์จากประเทศอื่น?
2017: ออกสู่สาธารณชน
เหตุการณ์และการสืบสวนต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่เคยถูกรายงานต่อสาธาณชนเลยจนกระทั่งเดือนธันวาคม ปี 2017 หนังสือพิมพ์ New York Times เปิดเผยการมีอยู่ของโครงการระบุตัวตนภัยคุกคามจากอากาศยานขั้นสูง หรือ AATIP ที่ดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหม แม้ว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมจะระบุว่าโครงการ AATIP ได้ปิดตัวลงในปี 2012 แล้ว แต่เอลิซอนโดกลับกล่าวกับหนังสือพิมพ์ว่าเขายังคงร่วมมือกับกองทัพเรือและซีไอเอ (CIA) วิจัยงานดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาลาออกในฤดูใบไม้ร่วงในปี 2017
เหตุการณ์การพูดถึงเรื่องยูเอฟโอนั้นได้จุดประกายความสงสัยและความสนใจในยูเอฟโอในหมู่สาธารณชน และแม้กระทั่งในหมู่นักวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นเดียวกัน
2020: ลงมือทำตามหลักวิทยาศาสตร์
เดือนกรกฎาคม ปี 2020 ราวี คาปาราปู (Ravi Kopparapu) และ เจคอป ฮาคค์ มีซรา (Jacob Haqq-Misra) นักวิทยาศาสตร์จากนาซ่า (NASA) และนักชีวดาราศาสตร์ตามลำดับเขียนบทความในนิตยสาร Scientific American ว่าถึงเวลาแล้วที่จะเราต้องกลับไปทบทวนข้อสรุปจากรายงานคอนดอนอีกครั้ง “ปรากฎการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ (UAPs) ส่วนใหญ่มักถูกจัดเป็นอากาศยานทางการทหาร การก่อตัวที่ผิดปกติของสภาพอากาศ หรือปรากฎการณ์ต่างๆ ที่ผิดปกติบนโลก” พวกเขายังระบุอีกว่า “ทว่ายังมีอีกหลายเหตุการณ์พิศวงที่อาจคุ้มค่าแก่การลงมือตรวจสอบ”
เดือนสิงหาคม ปี 2020 เพนตากอนได้ตั้งหน่วยงานที่ชื่อว่า The Unidentified Aerial Phenomena Task Force เพื่อศึกษาทำความเข้าใจและค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกของธรรมชาติและที่มาของวัตถุลึกลับที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้
2021: รายงานจาก DNI
เดือนเมษายน ปี 2021 กองทัพเรือสหรัฐฯ ยืนยันว่าคลิปวิดีโอที่ปรากฏภาพวัตถุลึบลับส่งสัญญาณให้กับเรือรบสหรัฐฯ ใกล้กับรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเรื่องจริง ซึ่งเหตุการณ์การพบเห็นดังกล่าวจะนำเข้ากระบวนการตรวจสอบต่อไป
และในเดือนมิถุนายน สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติหรือ DNI เปิดเผยรายงานการประเมินเบื้องต้นเกี่ยวกับการพบเห็นยูเอฟโอตั้งแต่ปี 2004 ถึงปี 2021 รายงานชี้ให้เห็นว่า ยูเอฟโอหรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า UAP ได้แบ่งออกเป็น 5 กรณี ได้แก่ การรบกวนในอากาศ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติในชั้นบรรยากาศ โครงการพัฒนาการบินและอวกาศของภาครัฐหรือเอกชน เทคโนโลยีจากประเทศคู่แข่ง และความเป็นไปได้อื่นๆ ที่ยังไม่สามารถระบุได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีเงินทุนและการรายงานเพิ่มเติมเพื่อการศึกษาค้นคว้าต่อไป
2022: NASA เข้าตรวจสอบ
ในเดือนเมษายน ปี 2022 เพนตากอนได้ประกาศจัดตั้งหน่วยงาน All-domain Anomaly Resolution Office เพื่อตรวจสอบ และสืบสวนวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ซึ่งอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของชาติ
และในเดือนมิถุนายนถัดมา NASA ได้จัดตั้งโครงการวิจัยอิสระเพื่อศึกษาเรื่องเหล่านี้จากมุมมองวิทยาศาสตร์ “เราจะค้นหาว่ามีข้อมูลใดบ้างจากทั้งพลเรือน รัฐบาล องค์กรไม่แสวงผลกำไรและบริษัทต่างๆ หรือมีอะไรอีกบ้างที่เราควรรวบรวมเพิ่มเติม และวิธีใดที่จะวิเคราะห์ได้ดีที่สุด” เดวิด สเปอร์เกล (David Spergel) หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
และในปี 2022 ได้มีการเปลี่ยนชื่อปรากฎการณ์ดังกล่าวจากปรากฎการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ที่เรียกว่า Unidentified Aerial Phenomena เป็น ปรากฎการณ์ผิดปกติที่ระบุไม่ได้ หรือ Unidentified Anomalous Phenomena อย่างเป็นทางการ
2023: ยังคงต้องสืบหาความจริงต่อไป
อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำตอบใดที่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ (DNI) เผยแพร่รายงานการติดตามผลการตรวจสอบในเดือนมิถุนายน ปี 2023 ระบุถึงการพบเห็นปรากฎการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมกว่า 510 รายการ โดยมี 171 รายการที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ โดยรายงานระบุไว้ว่า ในกรณีดังกล่าวอากาศยานที่ไม่สามารถระบุได้มักจะ “แสดงให้เห็นถึงลักษณะการบินหรือการทำงานของเทคโนโลยีที่ต่างออกไปจากปกติ “
ที่น่าตกใจที่สุด คือ ในเดือนมิถุนายน เดวิด กรัช (David Grusch) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเพนตากอนได้เข้าชี้แจงพร้อมกับเปิดเผยว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้เก็บซากอากาศยานซึ่งไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์จากจุดตกของยานบินไว้ในครอบครอง อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่า เขาไม่เคยได้เห็นวัตถุดังกล่าวด้วยตนเอง จึงก่อให้เกิดข้อสงสัยจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกตามมา
โจชัว ซีมีเตอร์ (Joshua Semeter) ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์แห่งมหาลัยบอสตัน และสมาชิกทีม NASA ซึ่งกำลังตรวจสอบรายงานเหล่านี้กล่าวกับ BU Today ว่า “มีการอ้างถึงการพบผู้มาเยือนจากนอกโลกมาอย่างยาวนาน แต่ความชัดเจนต่างหากที่เหมือนจะขาดหายไป” เพราะฉะนั้นจึงอาจยังต้องการหลักฐานเพิ่มเติม แต่การตั้งถาม การพบเห็น และการสืบสวนยังคงต้องดำเนินต่อไป
แปล ภาวิดา จงจอหอ
โครงการสหกิจศึกษา กองบรรณาธิการ นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย