ขณะการสำรวจดำเนินต่อไปในคูหาถํ้าขนาดใหญ่อีกสองแห่ง ได้แก่ ถํ้าเหมียวและถํ้าที่ถาน เราก็ตระหนักว่าถํ้าหงเหมย์กุยเป็นถํ้าที่แปลกด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือจากขนาดของมัน ในการสำรวจครั้งแรกโดยนักไต่ถํ้าชาวต่างชาติเมื่อปี 2001 ถํ้าดังกล่าวไม่มีรอยเท้ามนุษย์เหยียบยํ่าเลยจนกระทั่งพวกเขาไปถึง บางทีอาจเป็นเพราะหน้าผาสองแห่งตรงปากถํ้านั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านถอดใจ
ก่อนหน้านี้ระหว่างทางไปยังถํ้าหงเหมย์กุย เราแวะที่อำเภอเฟิ่งชานซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกุ้ยหลินไปทางตะวันตกราวแปดชั่วโมงทางรถยนต์ และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานธรณีเล่อเย่เฟิ่งชานขนาด 930 ตารางกิโลเมตรที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น ที่นี่มีถํ้าขนาดใหญ่ชื่อชวานหลงเหยียนซึ่งทางเทศบาลใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ภายในมีถนนกว้างสองเลน พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง และสนามกีฬา
ชอง โบตัซซี นักสำรวจถํ้าชาวฝรั่งเศส, อีวิส และสมาร์ต แสดงผลการสแกนคร่าว ๆ ของถํ้าในท้องถิ่นให้เจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาคคนหนึ่งในเฟิ่งชานดู เขานึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่า พวกเขาจะบอกได้หรือไม่ว่ามีพื้นที่ส่วนใดของถํ้าที่ไม่มั่นคง อีวิสซึ่งประสบความสำเร็จในการเป็นนักสำรวจถํ้าส่วนหนึ่งมาจากการที่เขารู้จักเจรจาต่อรองกับทางราชการ จับนํ้าเสียงที่สื่อถึงความต้องการใช้ประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้ “ครับ แน่นอนครับ” เขาตอบ ขณะที่สมาร์ตเสริมว่า “คุณสามารถกั้นเชือกในบริเวณที่อันตรายได้เลยครับ นักท่องเที่ยวจะได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ปลอดภัย” ความเฟื่องฟูของกิจกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคคาสต์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ ของผู้คนและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น โดยได้แรงกระตุ้นจากการเติบโตของชนชั้นกลางชาวจีนและความถวิลหาภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์เก่าแก่
ในอำเภอเฟิ่งชาน เราเห็นหลายครอบครัวสวมเสื้อชูชีพสีส้ม นั่งอยู่ในเรือที่มีคนถ่อล่องไปตามแม่นํ้าสีเขียวแกมนํ้าเงิน คนถ่อเรือส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกขณะผ่านหินย้อยในถํ้าเพดานตํ่า อุทยานแห่งชาติจื่อหยุนเก๋อทูเหอชวานต้งที่อยู่ห่างออกไปทางเหนือสิบชั่วโมงทางรถยนต์ กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักปีนเขาไปแล้ว เมื่อเราเดินทางจากอำเภอเล่อเย่และถํ้าหงเหมย์กุยไปถึงที่นั่น คนงานกำลังขุดเจาะทางเดินเท้าสำหรับนักท่องเที่ยวเข้าไปในผนังสูงของถํ้าเยี่ยนจื่อ ซึ่งได้ชื่อตามนกนางแอ่นที่มาทำรังอยู่บนผนังถํ้า ทางเดินนำไปสู่ลิฟต์ตัวใหม่ ในเก๋อทู เราสแกนสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นคูหาถํ้าขนาดใหญ่อันดับสองของโลกโดยวัดจากพื้นที่ นั่นคือถํ้าเหมียวซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล 19 สนาม
ก่อนจะขับรถจากเก๋อทูลงใต้ไปยังถํ้าที่ถานอันเป็นจุดหมายสุดท้ายในการสแกนของเรา ไมเคิล วอร์เนอร์ สมาชิกชาวอเมริกันในทีมสำรวจ พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ที่นี่ เขาตั้งข้อสังเกตว่า ถํ้าทุกแห่งที่เราไปเคยมีคนไปเยือนมาก่อนแล้ว ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การค้นพบ “การสำรวจเป็นเพียงการบันทึกบางสิ่งบางอย่างเป็นครั้งแรก” วอร์เนอร์ตัดสิน “และการสแกนเลเซอร์ก็เป็นวิธีดีที่สุดเท่าที่เรามีเพื่อบันทึกรายละเอียดของถํ้า”
หากจะมีถํ้าในอุดมคติสักถํ้าสำหรับศาสตร์แขนงใหม่ในการสแกนเลเซอร์พื้นที่ใต้พิภพ ก็คงเป็นถํ้าที่ถานนี้เอง ตรงใจกลางของคูหาถํ้าขนาดมหึมา มีทางลาดเอียงปกคลุมไปด้วยเศษหินและเต็มไปด้วยแอ่งนํ้าที่ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปยังหินงอกแฝดสูง 15 เมตรที่ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาใต้ดิน
เมื่อวางเครื่องสแกนลงบนยอดของหินงอกต้นใหญ่ทางด้านขวา คุณจะมองเห็นถํ้าที่ถานซึ่งมีพื้นที่ราว 50,000 ตารางเมตรหรือมากกว่า 30 ไร่ ใหญ่กว่าถํ้าหงเหมย์กุยเล็กน้อย ได้เกือบทั้งหมดในการหมุน 360 องศาเพียงรอบเดียว เหนือยอดของหินงอกนี้ขึ้นไปยังมีหินงอกอื่น ๆ อีก บางแห่งก่อตัวในลักษณะแปลกประหลาดเหมือนหัวจระเข้มีฟัน แล้วยังมีทะเลสาบใต้ดินซึ่งแห้งผากกลายเป็นพื้นโคลนแตกระแหงขณะที่เราอยู่ที่นั่น
เมื่อเราทั้งหมดกลับขึ้นมาสู่โลกเบื้องบนในสภาพเนื้อตัวมอมแมมและอ่อนล้าเต็มที เราคิดว่าการสำรวจเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่อีวิสมีเรื่องให้เราประหลาดใจในวันก่อนนั่งเครื่องบินกลับบ้าน นั่นคือการล่องเรือผ่านภูมิประเทศแบบคาสต์ไปตามแม่นํ้าหลี โดยจะแวะพักที่ถํ้าซึ่งทีมของเขาเป็นผู้เข้าไปสำรวจเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1985 เขาเองเคยล่องเรือไปตามลำนํ้าสายนี้ในปี 1982 ตอนนั้นมีเรือล่องแม่นํ้าเพียงไม่กี่สิบลำ ทุกวันนี้อาจมีถึงวันละสองสามร้อยลำ แต่ละลำบรรทุกนักท่องเที่ยวร่วมร้อยคน และคนหลายพันก็ออกันอยู่ในถํ้ามงกุฎ
แม่นํ้าหลียังคงงดงาม แต่หลังจากไปเยือนถํ้าที่ถานมาแล้ว ถํ้ามงกุฎกลับกลายเป็นสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนใจ เราถูกต้อนเข้าไปสู่ทางเข้าเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน แต่ละกลุ่มเดินตามมัคคุเทศก์ที่ถือไมโครโฟนกับลำโพงพกพาพลางตะโกนเสียงดังเพื่อให้กลบเสียงมัคคุเทศก์คนอื่นหินงอกและแอ่งนํ้าภายในถํ้าประดับประดาด้วยไฟสีเขียว แดง และม่วง ในถํ้ามีทางเดินและราวจับ ในบางคูหามีแผงขายของที่ระลึกราคาถูก ทางเดินถํ้าช่วงหนึ่งติดตั้งลิฟต์แก้ว มัคคุเทศก์เร่งให้เราไปต่อแถวรอรถไฟใต้ดินซึ่งจะพาเราไปยังแถวเพื่อรอลงเรือที่จะล่องไปตามทางเหมือนรถไฟเหาะใต้ดินและข้ามสะพานเหนือแม่นํ้าใต้ดิน
อีวิสเดินตามหลังคนอื่น ๆ ในกลุ่ม และถ่ายภาพทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ตามลำพังในถํ้ามงกุฎเพื่อทำแผนที่และสำรวจทางเดินที่ซุกซ่อนอยู่ “นี่มันน่าสับสนไหมครับ” ผมถามอีวิส “ไม่หรอก” เขาตอบ เวลานี้นักท่องเที่ยวพากันหยิบกล้องของตัวเองออกมา ถ่ายภาพทุกซอกทุกมุมของถํ้ามงกุฎที่มองเห็นอยู่ในแสงเทียม จะว่าไปก็เป็นการสำรวจแบบหนึ่งเช่นกัน สำหรับอีวิส คงไม่มีอะไรเป็นธรรมดาของโลกมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เรื่อง แมกเคนซี ฟังก์
ภาพถ่าย คาร์สเทน ปีเตอร์
อ่านเพิ่มเติม