[BRANDED CONTENT FOR TAIWAN TOURISM]
เพียงขับรถข้ามสะพานเกาผิง (Gaoping) ซึ่งเป็นเส้นทางหลักจากเมืองเกาสงสู่เมืองผิงตง (Pingtung) บรรยากาศก็เปลี่ยนจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงสู่ธรรมชาติในทันที ผิงตง เมืองใต้สุดของไต้หวัน ต้อนรับเราด้วยแนวต้นมะพร้าว ต้นปาล์ม และกลิ่นอายทะเล ที่นี่คือสถานที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติเขิ่นติง อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไต้หวัน ซึ่งเต็มไปด้วยระบบนิเวศอันหลากหลาย
นอกจากจะเป็นจุดหมายปลายทางของผู้รักธรรมชาติ ตัวเมืองผิงตงยังมีเสน่ห์ของย่านเก่าที่พัฒนาขึ้นมาจากหมู่บ้านชาวประมง รวมถึงเป็นแหล่งวิจัยชีววิทยาทางทะเลที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำให้ผู้คนเข้าไปเรียนรู้ความงามและความสำคัญของโลกใต้น้ำอีกด้วย
วัดตงหลง ศูนย์รวมศรัทธาของชาวผิงตง
พวกเรามาถึงผิงตงช่วงเย็น เข้าที่พักในเขตตงกั่ง แล้วพากันไปไหว้ขอพรที่วัดตงหลง (Donglong Temple) วัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในผิงตง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1706 เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าเวินหวังเย่ (Wen Wang Ye) เทพเจ้าแห่งโรคระบาด วัดแห่งนี้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนชาวประมงในผิงตง ซึ่งมีความศรัทธาว่าเทพเจ้าประจำวัดช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภัยทางทะเลและโรคระบาด
วัดตงหลงมีประเพณีสำคัญคือพิธีส่งเรือเทพเจ้าหรือเผาเรือเทพเจ้าแห่งโรคระบาดออกสู่ทะเล โดยมีจุดประสงค์ให้เรือลำนี้นำความเจ็บป่วยและโรคระบาดพัดพาไปกับท่านด้วย ปัจจุบัน ประเพณีนี้กลายเป็นเทศกาลขอพรเพื่อให้เกิดความสงบสุขและคืนความโชคดี เทศกาลนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ 8 วัน 7 คืน ทุก ๆ 3 ปี แต่สำหรับท่านผู้ศรัทธาไม่ต้องรอให้ถึงช่วงเทศกาล ทางวัดมีพิธีปัดเป่าโรคและความโชคร้ายออกไปเช่นกัน
ความงดงามของวัดตงหลงสะดุดสายตาตั้งแต่ซุ้มประตูสีทองขนาดใหญ่อลังการ ประดับประดาไปด้วยประติมากรรมเทพเจ้าและงานแกะสลักปิดทองรูปสัตว์มงคล เช่น มังกรและกิเลน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเพดานของซุ้มหลักก็พบกับงานสลักเสลามังกรสีทองนับร้อยตัวตกแต่งด้วยลายละเอียดประณีตซึ่งดูแลรักษาเป็นอย่างดีจนส่องประกายระยับในยามค่ำคืน
สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมในวัดก็งดงามไม่แพ้กัน เทพเจ้าเวินหวังเย่ประดิษฐานเป็นองค์ประธานแวดล้อมด้วยเทพเจ้าอื่น ๆ พวกเราขอทำพิธีปัดเป่าสิ่งโชคร้าย เจ้าหน้าที่ถามชื่อทุกคน แล้วท่องบทสวดพร้อมสะบัดธงแดงไปมาเหนือหัวประหนึ่งการขับไล่ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือขอให้สิ่งร้าย ๆ อุปสรรคใด ๆ พ้นไปจากชีวิต ไม่ใช่อธิษฐานขอพร นี่คือวิถีของพิธีนี้ที่วัดตงหลง อย่าเข้าใจผิดทำตรงกันข้ามกันล่ะ
ท่องไปกับความหลากหลายในอุทยานแห่งชาติเขิ่นติง
ด้วยพื้นที่ครอบคลุมทั้งบนบกและทะเลรวม 333 ตารางกิโลเมตร อุทยานแห่งชาติเขิ่นติง (Kenting National Park) จึงมีให้แหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้งป่าเขา ที่ราบสูงริมทะเล และชายหาด
- ที่ราบหลงผาน
เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการมุ่งหน้าไปที่ราบหลงผาน (Longpan Park) ซึ่งมีลักษณะทางธรรมชาติเฉพาะตัวอันโดดเด่นเป็นพื้นที่โล่งกว้างปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าบนผาที่ชมวิวได้ไกลสุดสายตา มีลมพัดแรงตลอดทั้งปี
สีเขียวของทุ่งหญ้าและพืชไม้พุ่มทนลมทะเล แนวหินปะการังสีเทาที่ผุดขึ้นมาระหว่างดินแดง ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าและมหาสมุทร มองลงไปเห็นผาลาดเว้าลงไปสู่ชายหาด เป็นภาพอันน่าทึ่งที่ทุกคนประทับใจมาก ใช้เวลาอยู่นานจนแทบไม่อยากจากไปไหน
ในวันฟ้าใสท่ามกลางแดดเช้า พวกเราเดินเล่นไปทั่ว ชมวิวตามมุมต่าง ๆ มองตรงไหนก็สวยไปหมด คอยจับหมวกไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม นอนกลิ้งบนพื้นหญ้า ถ่ายรูปดอกไม้เล็ก ๆ สูดอากาศสดชื่น แต่ต้องระวังอย่าเดินเพลินจนลืมความปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้หน้าผา
พื้นที่บริเวณนี้เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกในอดีต แนวชายฝั่งถูกคลื่นกัดเซาะประกอบกับน้ำที่ไหลมาตามโพรงหินด้านบนจนแนวเขาค่อย ๆ ถล่มลงมาตามลำดับ ทำให้เกิดหน้าผาที่ไล่ระดับลงเป็นรูปร่างแปลกตา หินปูนซึ่งละลายน้ำได้เป็นลักษณะทางธรณีวิทยาของพื้นที่ที่อดีตเคยเป็นแนวปะการังใต้ทะเล ดูได้จากหินที่มีร่องรอยกัดเซาะของฝนจนพื้นผิวเป็นริ้วพรุน เป็นความสนุกของการสังเกตธรรมชาติที่นอกเหนือไปจากการชมวิว ในฐานะแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ ที่นี่ก็มีการติดตั้งป้ายให้ความรู้ด้านธรณีสัณฐานที่ทำให้เกิดความพิเศษของที่ราบหลงผาน เป็นจุดท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติเขิ่นติงที่ไม่อยากให้พลาดเลยจริง ๆ
- Kenting National Forest Recreation Area
อุทยานแห่งชาติเขิ่นติงมีเส้นทางเดินป่ามากมาย แต่ที่เดินสบายและรวบรวมธรรมชาติไว้ครบครัน ขอแนะนำเขตนันทนาการป่าไม้แห่งชาติเขิ่นติง (Kenting National Forest Recreation Area) ที่นี่มีเส้นทางชมธรรมชาติหลากหลาย มีไฮไลต์ให้ชมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่ามีเวลาเดินนานเท่าไร เส้นทางตั้งต้นพาเราผ่านแนวป่าดั้งเดิมที่รักษาไว้อย่างดี มีต้นไม้อายุหลายสิบปีไปจนถึงนับร้อยปีที่เป็นแลนด์มาร์ก รวมถึงต้นไม้น้อยใหญ่สมบูรณ์เขียวสะพรั่ง ท่ามกลางเสียงนกและเสียงแมลงเคล้าสายลมพัดผ่าน
เราเลือกเดินไปตามเส้นทางอาบป่า (Forest Bathing Walk) ผ่าน Blossom Pavillion – Tropical Botanical Garden เรือนกระจกซึ่งรวบรวมพันธุ์ไม้เขตร้อนเอาไว้ ไปยังถ้ำมังกรเงิน (Silver Dragon Cave) เป็นเส้นทางร่มรื่นที่เหมาะกับการอาบป่าสมกับชื่อ สัมผัสได้ถึงพลังงานดี ๆ ที่ทั้งสงบ ร่มเย็นและเพลิดเพลินใจ
จากป่าโปร่งสู่ป่าครึ้มที่มีแนวโขดหินใหญ่โอบรับ สู่ช่องเขาที่ถูกน้ำฝนไหลเซาะจนกลายเป็นถ้ำ “ถ้ำมังกรเงิน” เป็นถ้ำที่เล็กและแคบ จึงมีทางเดินไม้ไว้ด้านในให้เดินง่าย เพียงแต่ต้องมุดตัวเข้าไปหน่อย ลักษณะของหินภายในถ้ำเห็นได้ชัดถึงร่องรอยสายน้ำที่ไหลชะลงมาเป็นทางสร้างลวดลายสวยเหมือนประติมากรรม การติดตั้งไฟด้านในช่วยสร้างบรรยากาศให้ถ้ำดูงามลึกลับ แม้จะเข้าได้เพียงระยะทางสั้น ๆ แต่ก็คุ้มค่ากับการแวะไปชม
เปิดโลกใต้น้ำที่พิพิธภัณฑ์ชีววิทยาทางทะเลและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งชาติ
Sir David Attenborough นักทำสารคดีผู้มีอายุครบ 99 ปี เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางไปทั่วโลกนำเสนอเรื่องราวของธรรมชาติ เขากำลังจะมีสารคดีชื่อ “Ocean” ซึ่งเป็นเหมือนเสียงแห่งมหาสมุทรและคำเตือนสุดท้าย เขาบอกว่า “หลังจากใช้ชีวิตเกือบ 100 ปีบนโลกใบนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าสถานที่ที่สำคัญที่สุดบนโลกไม่ใช่บนบก แต่คือทะเล”
นี่คือคำประกาศอันหนักแน่น ทำให้เราผู้ซึ่งหลงใหลทะเลพอ ๆ กับภูเขา ยิ่งแน่ใจว่าการได้ไปพิพิธภัณฑ์ชีววิทยาทางทะเลและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งชาติ (National Museum of Marine Biology & Aquarium) สำคัญแค่ไหน
การจัดแสดงระบบนิเวศใต้น้ำที่สวยงามและสร้างสรรค์ไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของผู้ชม แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปลูกฝังความรักและความหวงแหนต่อท้องทะเลและโลกของเรา
เราไปดูส่วนจัดแสดงหลักคือ Water of the World Exhibition, Water of Taiwan Exhibition และ Coral Kingdom Exhibition
นิทรรศการ Water of the World เล่าภาพรวมของทะเลในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยแบ่งย่อยออกไปหลายโซน โซนที่เราสนใจก็มี Kelp Forest Tank ตู้จัดแสดงป่าเคล์ปใต้น้ำ ซึ่งเป็นสาหร่ายที่สำคัญต่อระบบนิเวศในเขตมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงแอตแลนติก ใต้ผืนน้ำนั้น ป่าเคลป์เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลมากมาย เช่น ปลา แมวน้ำ นากทะเล และหอยเม่น ที่เรียกว่าป่า เพราะสาหร่ายเคล์ปมีลักษณะสูงชะลูดขึ้นไปหาแสง บางชนิดยาวได้ถึง 30 เมตร กระเปาะกลม ๆ ตามลำต้นช่วยให้ลอยตัวขึ้นรับแสงอาทิตย์ได้ นอกจากนั้นป่าเคล์ปยังทำหน้าที่ลดความแรงของคลื่น และดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นจำนวนมาก
ส่วนโซน Deep Sea ถือว่าเป็นการออกแบบประสบการณ์ใต้ทะเลลึกได้ดีมาก ด้วยการฉายภาพ Interactive ของแพลงก์ตอนที่เราขยับเล่นกับมันได้ และมันจะขยับไปตามการเคลื่อนไหวจริงในธรรมชาติหรือโซน Bioluminescent Animals สัตว์เรืองแสงใต้ทะเลลึกที่แสงแดดส่องไม่ถึง พวกมันเรืองแสงขึ้นได้ด้วยแบคทีเรียในตัว สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ได้แม้แต่กับผู้ใหญ่
ส่วนโซนขวัญใจมหาชนต้องยกให้ เพนกวิน 4 สายพันธุ์ รวมถึงนกพัฟฟิน ใน Polar Seas ตู้รักษาอุณหภูมิแบบขั้วโลกกับน้ำทะเลขนาดใหญ่ที่ให้เหล่าเพนกวินแหวกว่าย ดูได้ไม่เบื่อ
มากันที่โซน Water of Taiwan ที่แสดงระบบนิเวศในน่านน้ำไต้หวัน ตั้งแต่ต้นน้ำบนยอดเขาไหลลงมาเป็นแม่น้ำ สู่ปากแม่น้ำ มีป่าโกงกางที่เป็นรอยต่อของแผ่นดินและทะเล ไปจนถึงมหาสมุทร ด้วยภูมิประเทศเกาะที่มีภูเขาสูง หากไม่มีป่าที่ช่วยกักเก็บน้ำและการจัดการน้ำที่ดี น้ำจะหลากไหลลงสู่ทะเลไปอย่างรวดเร็ว จนอาจเกิดการขาดแคลนน้ำจืดได้ นิทรรศการนี้ไม่เพียงแค่จัดแสดงลักษณะทางธรรมชาติของระบบนิเวศใต้น้ำ แต่ยังเน้นการจัดการน้ำและการประมงอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำ
Coral Kingdom Exhibition เป็นโซนนิทรรศการที่มีไฮไลต์มากมาย ตั้งแต่ตู้จัดแสดงอาณาจักรปะการังต่าง ๆ อุโมงค์ยาวใต้แทงค์ขนาดใหญ่ที่ให้เราเดินผ่านมองฝูงปลานานาชนิดแหวกว่ายไปมาเหมือนเราได้อยู่ใต้น้ำ แทงค์วาฬเบลูกา (Russain Beluga Whale) วาฬสีขาวน่ารักขี้เล่นซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่แถบขั้วโลกเหนือ
ที่นี่มีการแสดงให้อาหารปลาเป็นรอบ ๆ โดยนักดำน้ำจะดำลงไปในตู้ปลาขนาดใหญ่พร้อมกับอาหาร ฝูงปลาจะพากันแหวกว่ายเข้ามาอย่างคึกคัก ทำให้ผู้ชมได้เห็นพฤติกรรมการกินของปลาหลายชนิดอย่างใกล้ชิด รอจังหวะถ่ายภาพปลาอย่างกระเบนและฉลามว่ายเวียนโฉบไปมา แล้วยังมีมุมให้จับสัตว์ทะเลได้ด้วย แต่ต้องไปล้างมือให้สะอาดก่อน แล้วลองจับดูซิว่าปลิงทะเล ปลาดาว เม่นทะเล นุ่มหรือแข็ง หรือมีปฏิกิริยากับมือเราอย่างไร เราต้องสัมผัสพวกมันอย่างเบามือ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลและดูแลอย่างใกล้ชิด
ออกมาด้านนอก ก็พบกับโครงกระดูกวาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) ที่ไม่เพียงดึงดูดสายตาด้วยความใหญ่โตอันน่าทึ่งแล้ว ยังสื่อสารถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้มันตาย ด้วยการจัดแสดงเชือกหนายาว 6 เมตรจากการประมงที่บังเอิญไปพันมัดปากของวาฬไว้จนมันไม่อาจอ้าปากได้ วาฬชนิดนี้กินสัตว์ทะเลเล็ก ๆ ปลาตัวเล็ก และแพลงก์ตอนด้วยการอมน้ำเข้าไปในปากแล้วดันน้ำออกผ่านแผงกรอง (Baleen) ที่ทำหน้าที่กรองให้เหลือแต่อาหาร เมื่ออ้าปากไม่ได้ก็เป็นอันต้องหิวโหยอดตาย เป็นการจัดแสดงที่เตือนให้ผู้ชมนึกถึงปัญหาขยะทะเลไปด้วย
เพราะอยากรู้ให้มากกว่ามาเที่ยวชม เราจึงทำเรื่องขออนุญาตเข้าไปชมพื้นที่ปฏิบัติงานเบื้องหลังโซน Coral Kingdom ซึ่งปกติไม่ได้เปิดให้เข้าชม ยกเว้นแต่มีโปรแกรมด้านการศึกษาเข้ามาดูงาน
เจ้าหน้าที่พาเราไปดูบ่อเพาะเลี้ยงต่าง ๆ เช่น ปะการัง ซึ่งหากมีปะการังเสียหายตายไป ก็ไม่ได้ไปเก็บเพิ่มจากทะเล แต่เป็นการเพาะเลี้ยงภายในเท่านั้น ปลาการ์ตูน ก็เช่นกัน มีตู้เพาะเลี้ยงให้แม่ปลาพ่อปลาดูแลฟูมฟักไข่ของตัวเอง และบ่อเพาะปลาฉลาม ซึ่งจัดแสดงไข่ปลาฉลามที่มีรูปร่างเป็นกระเปาะเหมือนกระเป๋า ปกติแล้วจะมีผิวหนาทึบ แต่ในตัวอย่างนี้มีการขูดพื้นผิวออกบางส่วนเพื่อให้มองถึงภายในได้ จากที่เคยเห็นแต่ในภาพถ่ายและสารคดี พอมาเห็นของจริง เห็นตัวอ่อนฉลามขยับดุ๊กดิ๊กอยู่ข้างในเลยตื่นเต้นมาก
และยังได้ไปดูทางเข้าเหนือแทงค์ตรงส่วนจัดแสดง พอโผล่หน้าไปเหล่าฝูงปลาก็ว่ายขึ้นมาหา เพราะเข้าใจว่าคนจะมาให้อาหาร ปลาปักเป้าว่ายขึ้นมาเป็นตัวแรก ปากที่เหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่ามันเยี่ยมหน้ามาทักทาย
ในโซนปฏิบัติงานนี้เป็นเบื้องหลังที่คอยดูแลรักษาสมดุลของสัตว์ทะเลต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ โดยมีการจัดการระบบนิเวศอย่างใกล้ชิด ซึ่งยังมีอีกหลายส่วนปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภายนอกพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่มีศูนย์วิจัยระบบนิเวศทางทะเลแห่งชาติแยกออกไป ซึ่งเป็นที่ทำงานของนักวิทยาศาสตร์ที่วิจัยเพื่อมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตไต้หวัน
หากคุณหลงใหลในทะเลและสนใจสัตว์น้ำ ที่นี่คือสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด รับรองว่าคุณจะได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แม้จะอยู่ทั้งวันก็ยังไม่เบื่อ และที่นี่ยังมีบริการที่พักค้างคืนให้คุณได้นอนท่ามกลางฝูงปลาอย่างใกล้ชิด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลองมานอนเล่นดูฝูงปลาทั้งคืนสักครั้ง
ชายหาดที่ไม่ควรพลาดในผิงตง
มาผิงตงแล้วเท้าไม่แตะทรายถือว่ามาไม่ถึง ในเมื่อที่นี่เต็มไปด้วยหาดมากมายที่เหมาะสำหรับกิจกรรมทางน้ำทุกรูปแบบ ยามสายพวกเราแวะไปเดินเล่นที่ South Bay หรือหาดหนานวาน (Nanwan) ตกเย็นก็ชมพระอาทิตย์ตกดินที่หาดไป๋ซา (Baishawan)
สองหาดนี้มีชื่อเสียงทั้งคู่ มีน้ำใสและหาดทรายละเอียด แต่บรรยากาศต่างกันตรงที่ South Bay มีบาร์ ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้ความรู้สึกสนุกสดใส ทั้งสองหาดมีคลื่นแรงเหมาะสำหรับการเล่นกระดานโต้คลื่น แม้ไม่ใช่ฤดูกาลพีคสุดที่คลื่นสูงท้าทายนักโต้คลื่น แต่ในวันธรรมดาแบบนี้เราก็ยังเห็นคนมาเล่นโต้คลื่นอยู่เหมือนกัน
ขณะที่หาดไป๋ซาให้ความรู้สึกสงบมากกว่า ไม่ได้มีร้านค้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้หาด แต่แค่เดินลงมาถึงหาด ใจก็ผ่อนคลาย เราจบวันด้วยการนั่งมองฟ้าเปลี่ยนสีในโมงยามที่ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ระบายสีสันผสมผสานแปรเปลี่ยนไปอย่างงดงาม จนยากจะหยุดบันทึกภาพ แต่สุดท้ายก็เลือกวางโทรศัพท์ แล้วนั่งลงฟังเสียงคลื่นที่ซัดดังสม่ำเสมอ ซึมซับจังหวะที่วันเคลื่อนผ่านเป็นค่ำอย่างสงบและสุขใจ อยากประทับไว้ไม่ให้ลืมเลือน
ตามหาเต่าทะเลที่เกาะเสี่ยวหลิวฉิว
เราปิดท้ายทริปที่ผิงตงด้วยการไปดำน้ำที่เกาะเสี่ยวหลิวฉิว (Xiao Liu Qiu) ซึ่งนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือตงกั่ง (Donggong Ferry) ออกไปแค่ 30 นาทีก็ถึง เป็นเกาะยอดนิยมที่ชาวไต้หวันนิยมมาเที่ยวกันในวันหยุดยาว สุดสัปดาห์นั้นเป็นวันหยุด Memorial Day ผู้คนจึงพลุกพล่าน
เกาะแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรมทางน้ำทุกประเภท ตั้งแต่พายคายัค ซัพบอร์ด ดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก และฟรีไดฟ์ และยังมีเต่าทะเลจำนวนมาก แค่ดำน้ำตื้นก็พบเจอพวกมันได้ง่าย เต่าทะเลเป็นสัตว์คุ้มครองที่มีกฎเหล็กว่าห้ามไปแตะต้องมันเด็ดขาด มีโทษปรับถึง 2,000 NTD เลยนะ
เกาะเสี่ยวหลิวฉิวเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่เพียง 6.8 ตารางกิโลเมตร ชายฝั่งโดยรอบมีระยะทางราว 12 กิโลเมตร ขี่สกู๊ตเตอร์ไม่ถึงชั่วโมงก็วนเที่ยวได้รอบเกาะ สำหรับคนที่ไม่มีใบอนุญาตขี่มอเตอร์ไซค์ ก็มีจักรยานไฟฟ้าให้เช่า เราก็ใช้ตัวเลือกหลังนั่นแหละ ที่นี่มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกสวย ๆ หลายจุด มีเส้นทางเดินป่า และเดินสำรวจถ้ำไม่น้อย
แต่เราเน้นมาดำน้ำ วันแรกที่มาถึงเลยออมแรงไว้ แค่ขี่จักรยานไฟฟ้าไปเรื่อย ๆ เห็นตรงไหนสวยก็จอดถ่ายรูป เจอคาเฟ่น่ารักก็แวะละเลียดกาแฟสักแก้ว แค่ปล่อยใจไปกับวิวตรงหน้า ไม่ต้องมีแผนอะไร เกาะเสี่ยวหลิวฉิวให้บรรยากาศสบาย ๆ แบบนั้น

วันต่อมาเป็นวันดำน้ำ เช้าและบ่ายรวม 4 ไดฟ์ น้ำที่นี่เย็นกว่าในไทยต้องใส่เว็ทสูทอย่างหนา แม้ไม่ใช่ช่วงที่น้ำใสที่สุดของปี แต่ทัศนวิสัยก็ดีทีเดียว เราดำน้ำไปตามกองหินและแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ ดูฝูงปลาและมองหาเต่าทะเล แม้ไม่ได้พบมากเท่าที่คิด แต่แค่ได้เห็นพวกมันสักตัวก็ดีใจแล้ว

3 ใน 4 ไดฟ์เป็นการดำลึกไปดูซากเรือจม ที่นี่มีซากเรือจมเยอะ เพราะการประมงเป็นอาชีพหลักมาแต่อดีต ซากเรือจมกลายเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตหลากหลาย แม้จะไม่เหมือนแนวปะการังที่มีสีสันสดใส แต่ที่นี่ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย ทั้งสัตว์น้ำหลากหลายและระบบนิเวศที่น่าค้นหา

การดำน้ำลึกทำให้เราได้ไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เป็นความผ่อนคลายแบบต้องมีสติกับตัว ต้องไม่ลืมกฎความปลอดภัยของการดำน้ำตลอดเวลา ทางร้านดำน้ำจัดการดีมาก ให้ไดฟ์ลีดมาเป็นบัดดี้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติหนึ่งเดียวในทริป ซึ่งดูแลอย่างดี ทุกไดฟ์ราบรื่น กลับขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม แล้วบันทึกความประทับใจในโลกใต้ทะเลของเกาะเล็ก ๆ ที่เราอยากกลับมาอีกหลาย ๆ ครั้ง
ภาพแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้ายังตราตรึงให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่ได้รับพลังงานธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ความเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ในเมืองชุมชนชาวประมงแห่งดินแดนใต้สุดของไต้หวัน เป็นการส่งท้ายเส้นทางท่องเที่ยวกับแคมเปญ “Explore Southern Taiwan Where Nature Meets Culture” ที่แสนพิเศษ
หากคุณมีโอกาสได้ไปไต้หวัน อยากให้ลองมุ่งหน้าลงใต้แล้วคุณจะหลงรักผิงตงไม่ต่างจากเรา
อ่านเพิ่มเติม เกาสง เมืองท่าอุตสาหกรรมที่ทำถึงใจผู้คน