มัมมี่ช่วยนักฟุตบอลคนหนึ่งให้ไปแข่ง ฟุตบอลโลก ได้อย่างไร?
เมื่อการตรวจสารเสพติดของเปาโล เกร์เรโร่ นักฟุตบอลชาวเปรูชี้ให้เห็นร่องรอยสารเมตาโบไลท์หรือสารตกตะกอนจากร่างกายเป็นสารโคเคนจำนวนมาก ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าโอกาสที่เขาจะได้ไปแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2018 ช่างร่อยหรอลงทุกที
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า องค์กรที่ดำเนินการและควบคุมการกีฬาฟุตบอลของโลกมีบทลงโทษที่เข้มงวดกับนักฟุตบอลที่ถูกจับได้ว่าใช้ยาผิดกฎหมาย เกร์เรโร่ถูกสั่งห้ามลงเล่นฟุตบอลนานหนึ่งปี ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถเข้าแข่งขันในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซียได้
เกร์เรโร่ต่อสู้คดี และคำตัดสินลงโทษของฟีฟ่า โดยอ้างว่าบทลงโทษไม่ยุติธรรม เขาระบุว่าตนดื่มชาโคคาโดยไม่ได้ตั้งใจเนื่องจากต้องการดื่มชาเพื่อรักษาอาการไข้หวัด นอกจากนี้เกร์เรโร่และทนายของเขายังได้บอกกับฟีฟ่าอีกว่าการจะรู้ได้ว่าเป็นชาที่ดื่มเป็นชาโคคานั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากน้ำตาลและเครื่องปรุงแต่งรสชาติหลากหลายที่ใส่ลงไปในชาทำให้เขาไม่รู้ว่าชาที่เขาดื่มนั้นเป็นชาโคคา
เกร์เรโร่ได้รับการช่วยเหลือจากแฟนบอลเปรูในเรื่องชีวเคมีด้วยการหาข้อพิสูจน์จากมัมมี่แห่งอินคาที่มีอายุเก่าแก่ถึงห้าร้อยปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องโชคดีมากสำหรับนักฟุตบอลวัยสามสิบสี่ปีคนนี้
หลักฐานที่มีอายุเก่าแก่ถึงห้าร้อยปีบนน้ำแข็ง
โยฮัน ไรน์ฮาร์ด นักโบราณคดี และนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ผู้นำทีมสำรวจไปค้นพบมัมมี่เด็กสามคนที่ถูกเก็บรักษาไว้บนเทือกเขาแอนดีส เมื่อปีค.ศ. 1999 กล่าวว่า “มันเป็นหนึ่งในหลักฐานที่น่าสนใจว่ามัมมี่ยังคงสามารถสื่อสารกับพวกเราได้ตั้งแต่ในอดีต”
ไรน์ฮาร์ดและทีมนักสำรวจเก้าคนใช้เวลาสองอาทิตย์ในการค้นพบสิ่งที่ยังคงทิ้งเหลือไว้บนภูเขาไฟ Llullaillaco ของอาร์เจนติน่า ที่ระดับความสูง 22,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล สภาพอากาศที่หนาวเย็นสามารถชะลอการย่อยสลายของแบคทีเรียได้ ซึ่งหมายความว่า สารพันธุกรรมของผู้คนที่ถูกฝังในน้ำแข็งเหล่านี้ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ และมัมมี่ Llullaillaco ถูกเสนอให้เป็นหนึ่งในการเก็บรักษาศพมนุษย์ที่ดีที่สุดในโลก
มัมมี่สามร่างที่ถูกค้นพบประกอบไปด้วย Llullaillaco มัมมี่หญิงสาววัย 13 ปี และมัมมี่เด็กอีกสองคนที่เป็นที่รู้จักในชื่อ เด็กชาย Llullaillaco และเด็กหญิง Lightning ทั้งหมดน่าจะเป็นเหยื่อของพิธีกรรมบูชายัญเด็ก ต่อมาในปีค.ศ. 2013 ผลการวิเคราะห์สารพันธุกรรมที่ถูกเก็บรักษาไว้ในเส้นผมของมัมมี่หญิงสาว Llullaillaco ถูกเปิดเผย นักวิจัยพบว่าเธอได้กินใบโคคา และแอลกอฮอล์อย่างหนักในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต สารต่างๆ เหล่านี้ถูกใช้เพื่อควบคุมประสาทของเธอขณะเดินทางขึ้นไปบนภูเขา หรือเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม
“คุณสามารถเห็นเศษใบโคคาบนริมฝีปากและในปากของเธอ” ไรน์ฮาร์ดกล่าว
เป็นที่ทราบกันดีว่าชนเผ่าดั้งเดิมต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแอนดีสกินใบโคคามาหลายร้อยปีแล้ว โดยเชื่อกันว่าพืชท้องถิ่นที่ขึ้นเองตามธรรมชาตินี้มีสรรพคุณรักษาโรค และเป็นพืชที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเมื่อต้องเดินทางขึ้นบนพื้นที่สูง
(ฟุตบอลมีถิ่นกำเนิดที่ใด? โบราณคดีมีคำตอบ)
เกร์เรโร่ และมัมมี่หญิงสาว Lullullaillaco
ทั้งนักฟุตบอลในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดและมัมมี่ในศตวรรษที่สิบหกชี้ให้เห็นถึงร่องรอยสารเมตาโบไลท์ในรูปแบบของเบนโซอิลเอคโกนีนระหว่างการทดสอบที่มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งกรณีนี้อาจช่วยคดีของเกร์เรโร่ได้
ชาร์ลส์ สตานิช นักโบราณคดี ผู้บริหารสถาบันการศึกษาวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริด้า เป็นพยานให้กับเกร์เรโร่ ตัวเขาระบุว่าหน้าที่ของเขาคือการตรวจพบสารโคเคนในคนที่ไม่ได้ใช้ยาผิดกฎหมาย “วิธีที่ชัดเจนที่สุดคือการใช้มัมมี่อายุห้าร้อยปีช่วยในการตรวจสารโคเคนก่อนตัดสินว่าเขาเสพโคเคน”
ในคริสตวรรษที่สิบเก้า มีการค้นพบสารโคเคนในรูปแบบของแอลคาลอยด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในใบโคคาและสามารถสังเคราะห์ออกมาเป็นยาได้ สตานิชยังเสริมอีกว่า “คนแถบอเมริกาใต้ไม่ค่อยดื่มชาโคคาที่มีแต่ใบโคคาเพียวๆ เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาจะผสมน้ำตาลไปอีกเยอะเพื่อกลบรสชาติใบโคคา และตอนนี้ชาโคคากลายมาเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมในเมืองลิมา”
ทั้งนี้เกร์เรโร่ไม่ใช่แค่คนเดียวที่เคยถูกตรวจพบสารโคเคนในร่างกายหลังจากที่อ้างว่าดื่มชาโคคา เพราะที่ประเทศเปรูทุกคนตั้งแต่นักบินไปจนถึงนักท่องเที่ยวจะถูกสอบถามเกี่ยวกับเรื่องโคเคน ซึ่งสำหรับสตานิชแล้วปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นสร้างภาพจำที่ผิดเกี่ยวกับใบโคคาอย่างมาก
หลังการสู้คดีกับสหพันธ์ศาลยุติธรรมสวิตเซอร์แลนด์อยู่หลายวัน ศาลได้สั่งหยุดการติดโทษแบนของเกร์เรโร่ชั่วคราวและอนุญาตให้เขาไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ แต่ในขณะเดียวกันศาลเองยังเตรียมที่จะกลับมาพิจารณาคดีของเกร์เรโร่ใหม่อีกครั้ง
เรื่อง ซาร่าห์ กิบเบ็นส์
อ่านเพิ่มเติม