นักวิจัย ใช้ AI มาช่วยไขปริศนาว่าใครเป็นผู้เขียนไบเบิล

นักวิจัย ใช้ AI มาช่วยไขปริศนาว่าใครเป็นผู้เขียนไบเบิล

“AI กำลังช่วยนักวิจัยไขปริศนาว่า ‘ใคร’ เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์”

ด้วยพลังของปัญญาประดิษฐ์ การสร้างแบบจำลองสถิติ และการวิเคราะห์ทางภาษาศาสตร์ ได้เผยให้เห็นคำตอบที่เคยเป็นภาพจาง ๆ เริ่มชัดมากยิ่งขึ้น พร้อมกับยืนยันทฤษฎีที่ทางวิชาการที่ยึดถึอกันมาอย่างยาวนาน 

“เราพบว่าผู้เขียนแต่ละกลุ่มมีสไตล์ที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่แม้กระทั่งกับคำง่าย ๆ ทั่วไปอย่าง ‘ไม่’, ‘ซึ่ง’ หรือ ‘กษัตริย์’ วิธีการของเราสามารถระบุความแตกต่างเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ” โทมัส โรเมอร์ (Thomas Römer) จากวิทยาลัยแห่งฝรั่งเศส (Collège de France) กล่าว

ด้วยการวิเคราะห์ความแตกต่างที่ละเอียดอ้อนในการใช้คำในข้อความต่าง ๆ ทีมวิจัยสามารถแยกแยะระหว่างแนวทางการเขียนที่แตกต่างกัน 3 แบบซึ่งครอบคุลมหนังสือ 9 เล่มแรกของพระคัมภีร์ฮีบรู (พันธสัญญาเดิม) ที่รู้จักกันในชื่อ ‘เอนเนียทิวค์’ (Enneateuch) 

[อธิบายเพิ่มเติม เอนเนียทิวค์ เป็นคำที่ถูกเสนอขึ้นมาเพื่อจัดกลุ่มหนังสือต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม โดยนักวิชาการมองว่าหนังสือทั้ง 9 เล่มนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่การสร้างโลกไปจนถึงการลมสลายของเยรูซาเล็ม และชาวยิวถูกเนรเทศไปจนถึงการตั้งอาณาจักรใหม่]

การใช้แบบจำลองทางสถิติที่อิงจากปัญญาประดิษฐ์เดียวกันนี้ ทำให้ทีมวิจัยสามารถเห็นเบาะแสได้ว่าใครน่าจะเป็นผู้เขียนมากที่สุด (อย่างน้อยก็สำหรับ 9 เล่มแรก) ซึ่งพวกเขารายงานผลการศึกษาไว้บนวารสาร PLOS One 

จุดเริ่มต้น

ในปี 2010 ชิรา ไฟเกนบาม-โกลโลวิน (Shira Faigenbaum-Golovin) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยดู๊ก ซึ่งกำลังเริ่มทำงานในขณะนั้นได้ร่วมมือกับ อิสราเอล ฟิงเคลสไตน์ (Israel Finkelstein) หัวหน้าคณะโบราณคดีและวัฒนธรรมทางทะเลที่มหาวิทยาลัยไฮฟา 

ได้ใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์และสถิติระบุผู้ประพันธ์ตัวอักษรที่พบในชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาจาก 600 ปีก่อนคริสตกาลโดยการเปรียบเทียบรูปแบบและรูปร่างตัวอักษณที่จารึกบนชิ้นส่วนแต่ละชิ้น การค้นพบของพวกเขาได้ลงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ‘The New York Times’ 

“เราสรุปได้ว่าการค้นพบในจารึกเหล่านั้นสามารถให้เบาะแสอันมีค่าในการระบุอายุข้อความจาก (พระคัมภีร์) พันธสัญญาเดิมได้” ไฟเกนบาม-โกลโลวิน กล่าว “นั่นเป็นเวลาที่เราเริ่มจัดตั้งทีมงานปัจจุบันของเราขึ้นมา ซึ่งสามารถช่วยเราวิเคราะห์ข้อความในพระคัมภีร์เหล่านี้ได้” 

ภายในทีมวิจัยนี้ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์หลายสาขาตั้งแต่นักโบราณคดี นักวิชาการด้านพระคัมภีร์ นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และตัวแทนจากคณะเทววิทยาโปรเตสแตนต์แห่งปารีส 

พวกเขาให้เอไอวิเคราะห์รูปแบบภาษาใน 3 ส่วนหลักของพระคัมภีร์คือ เฉลยธรรมบัญญัติ, ประวัติศาสตร์เฉลยธรรมบัญญัติ (Deuteronomistic History) และงานเขียนของปุโรหิตในโทราห์ (เป็นแนวคิดว่า 5 เล่มแรกไม่ได้เขียนโดยคนคนเดียวกัน) 

ซึ่งให้ผลลัพธ์ว่า สองอย่างแรกมีความคล้ายคลึงกันมากกว่างานเขียนของปุโรหิต ซึ่งทำให้ต่อมาทีมงานได้เลือกบทพระคัมภีร์ 50 บทจากหนังสือ 9 เล่มแรก แล้วให้เอไอจัดสรรบทต่าง ๆ ให้เข้ากับรูปแบบข้างต้น 3 กลุ่มที่กล่าวไป 

“โมเดลได้เปรียบเทียบบทต่าง ๆ และเสนอสูตรเชิงปริมาณสำหรับจัดสรรบทต่าง ๆ ให้กับรูปแบบการเขียน 1 ใน 3 รูปแบบ” ไฟเกนบาม-โกลโลวิน กล่าว 

ขั้นต่อไป

ในส่วนที่สองของการศึกษา ทีมงานได้นำโมเดลไปใช้กับบทต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ที่มีการถกเถียงกันอย่าง ‘ดุเดือด’ เกี่ยวกับผู้ประพันธ์ โดยการให้เอไอเปรียบเทียบบทต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ากับรูปการเขียนทั้ง 3 รูปแบบ เพื่อพยายามระบุให้ได้ว่ากลุ่มใดมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้เขียนมากกว่ากัน 

“ข้อได้เปรียบหลักประการหนึ่งของวิธีการนี้คือ ความสามารถในการอธิบายผลของการวิเคราะห์ นั่นคือการระบุคำหรือวลีที่นำไปสู่การจัดสรรบทต่าง ๆ ให้เข้ากับรูปบบการเขียนเฉพาะ” เอลอน คิพนิส (Alon Kipnis) จากมหาวิทยาลัยไรช์แมน กล่าว 

แต่เนื่องจากข้อความในพระคัมภีร์ได้รับการแก้ไขซ้ำหลายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะสั้นมาก ทำให้ยากต่อการค้นหาส่วนที่ยังคงใช้คำและภาษาเดิม และไม่เหมาะกับวิธีการทางสถิติแบบมาตรฐาน พวกเขาจึงต้องพัฒนาวิธีการใหม่ ด้วยการให้เอไอค้นหาคำบางคำหรือรากศัพท์บางคำที่ปรากฏในข้อความต่าง ๆ แทน เพื่อดูว่าจะมีแนวโน้มที่ถูกเขียนโดยกลุ่มผู้เขียนเดียวกันหรือไม่

การค้นพบที่น่าประหลาดใจก็คือ บทพระคัมภีร์ที่ปรากฏในหนังสือซามูลเอลทั้ง 2 ส่วนมีการกล่าวถึงหัวข้อเดียวกัน และบางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเดียวกันด้วย แต่ข้อความใน 1 ซามูเอล กลับไม่สอดคล้องกับแหล่งข้อมูลหลักทั้งสามแหล่ง ในขณะที่บทใน 2 ซามูเอล แสดงความสัมพันธ์กับแนวคิด ประวัติศาสตร์เฉลยธรรมบัญญัติ (หนังสือโยชูวาถึงพงศ์กษัตริย์)

สรุปอีกครั้ง แม้ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถระบุ ‘ชื่อ’ บุคคลเฉพาะเจาะจงได้ว่าใครเป็นผู้เขียนหนังสือ 9 เล่มแรกของพระคัมภีร์กันแน่ แต่พวกเขาได้เห็นความเป็นไปได้ว่าบางเล่มอาจถูกเขียนโดยคนคนเดียวกัน ทีมวิจัยเชื่อว่าเทคนิคนี้สามารถใช้กับเอกสารประวัติศาสตร์อื่น ๆ ได้

“ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังดูชิ้นส่วนเอกสารเพื่อดูว่าเอกสารเหล่านั้นเขียนโดย อับราฮัม ลินคอล์น หรือไม่ วิธีนี้จะช่วยระบุได้ว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นจริงหรือเป็นเพียงของปลอม” ไฟเกนบาม-โกลโลวิน กล่าว

“การศึกษานี้นำเสนอแนวคิดใหม่ในการวิเคราะห์ข้อความโบราณ” ฟิงเคลสไตน์ สรุป

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://journals.plos.org

https://trinity.duke.edu

https://phys.org

https://interestingengineering.com


อ่านเพิ่มเติม : เปิดโลกนักล่าคัมภีร์ ไบเบิล

 

 

Recommend