จากเหตุการณ์โรคระบาดในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ทุกภาคส่วนเผชิญความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนกลายเป็นประเด็นให้ทั่วโลกต่างหันกลับมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุค New Normal ในรูปแบบใหม่
ไม่เว้นแม้แต่ ธนาคาร เอชเอสบีซี หรือ The Hongkong and Shanghai Banking Corporation Limited (HSBC) ธนาคารพาณิชย์เอกชนแห่งแรกในไทย ผู้ให้บริการภาคการเงินและการธนาคารซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก โดยตลอด 150 ปีที่ดำเนินธุรกิจ พวกเขามีความตั้งใจเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ผ่านการเปิดโอกาสใหม่ ๆ เพื่อผลประโยชน์อย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า บุคลากร นักลงทุน ชุมชน จนถึงโลกที่พวกเขามีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจัง
พันธกิจเหล่านี้เองที่นำไปสู่บทบาทการเป็นธุรกิจการเงินสีเขียว เพื่อเข้าสู่โลกแห่งเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยตั้งเป้าหมายให้บริการทางการเงินอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หันมาให้บริการและผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยลง รวมถึงสนับสนุนบริษัทที่แสดงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลร่วมด้วย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือเร็วกว่านั้น
ทาง HSBC Global Private Banking ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากทั่วโลกและทั่วภูมิภาคมาร่วมกันออกแบบสร้างผลิตภัณฑ์ด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติและไปเป็นตามข้อตกลงปารีส
เพราะพวกเขาเชื่อว่าการลงทุนที่ยั่งยืนมีส่วนช่วยและมีผลกับประสิทธิภาพในการลงทุน จึงใช้หลักข้อนี้เป็นกลยุทธ์อันดับต้น ๆ เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้รับบริการ
เริ่มตั้งแต่การออกพันธบัตรสีเขียว และพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.2 นับว่าเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ยังพบว่า กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ทางฝั่งนักลงทุนรายย่อย ก็หันมาให้ความสนใจเรื่องความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมตามหลัก ESG เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย ทำให้ทางธนาคาร เอชเอสบีซี ให้ความสนใจและเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเพิ่มขึ้นตาม เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักลงทุนเหล่านี้
และเมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา ธนาคาร เอชเอสบีซี ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่าง ‘กองทุนไพรเวทอิควิตี้’ กองทุนแรกที่มีเป้าหมายในการผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนในระดับที่แข่งขันได้
อีกทั้ง ทางธนาคาร เอชเอสบีซี ยังทำหน้าที่สร้างความเข้าใจเชิงลึกถึงเป้าหมายที่พวกเขามุ่งมั่นอย่างการเป็นองค์กร Net Zero หรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ให้กับทั้งลูกค้ารายบุคคล รวมถึงเหล่าลูกค้าในองค์กร เพื่อช่วยกันผลักดัน สร้างแรงบันดาลใจ ไปจนถึงสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นได้ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้
รวมทั้งยังมีการร่วมลงทุนเพื่อก่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ HSBC Pollination Climate Asset Management โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ ที่ลงทุนในโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ ปกป้องและพัฒนาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และกลุ่มที่จัดการปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มเติม
จากจุดแข็งที่ธนาคารมีเครือข่ายจากทั่วโลก สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกับลูกค้าในเชิงรุก ทั้งการส่งเสริมความยั่งยืนระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน การทำงานร่วมกับนักลงทุน รัฐบาล เอ็นจีโอ สถาบันการเงินอื่น ๆ และซัพพลายเออร์เพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในโครงการที่สนับสนุนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และอีกประการหนึ่ง คือการช่วยให้ลูกค้าผนวกความยั่งยืนเข้าไปในทุกขั้นตอนของการสร้างความมั่งคั่ง
เป็นที่มาของการการันตีความสำเร็จมากมาย ทั้งเวที Euromoney Awards for Excellence 2021 – Sustainable Financing ด้านการเป็นธนาคารเพื่อการเงินที่ยั่งยืนแห่งปี และ Finance Asia Award – Best International Bank in Thailand 2021 รางวัลสำหรับธนาคารต่างประเทศที่ดีที่สุดของประเทศไทยในปีพ.ศ. 2564
ด้วยการสนับสนุนทั้งหมดนี้ ทำให้การลงทุนเพื่อความยั่งยืนกลายเป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจจากเหล่าผู้ประกอบการและนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่ต้องการการลงทุนในเชิงการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาง HSBC Group จึงมุ่งมั่นร่วมเดินทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนนี้ไปพร้อมกับ ทุกคน เพื่อทำให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในตลาดการเงินไปพร้อมกับโลกที่ดีขึ้นต่อไป