การอุปกรณ์ และเส้นทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
ชนะเลิศประเภทอุปกรณ์ดีเด่น
เนื่องจากที่เชิงเขาอุณหภูมิต่างจากยอดสูงสุดมาก การเตรียมอุปกรณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่สถานีคาวากูจิโกะ อากาศในช่วงปลายเดือนสิงหาคม อุณหภูมิอยู่ที่ 23-25 องศาเซลเซียส แต่เมื่อความสูงเพิ่มขึ้น อากาศข้างบนจะเย็นลงและลมแรง จากสถิติ อุณหภูมิบริเวณยอดเขาอาจอยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส หรือบางครั้งแตะ 0 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้น การแต่งตัวที่ดีที่สุดคือการค่อยๆเพิ่มเครื่องกันหนาวทีละชิ้น
เพื่อเป็นแนวทางสำหรับวันที่เดินขึ้นเขา ควรมีอุปกรณ์พื้นฐานดังนี้
– หมวกปีกกว้างสำหรับเดินป่าหรือปีนเขา ชนิดกันรังสียูวี
– แว่นกันแดด
– เสื้อแขนยาวหรือแขนสั้นที่ระบายอากาศได้ดี
– ปลอกแขนกันรังสียูวี (กรณีที่ใส่เสื้อแขนสั้น)
– กางเกงประเภทลองจอห์นหรือ HEATTECH ไว้สวมด้านใน
– กางเกงเดินป่าหรือปีนเขา อาจเป็นชนิด Zip-off ที่สามารถดัดแปลงเป็นขาสั้นและขายาวได้
– ถุงเท้าหนาสำหรับเดินป่าหรือปีนเขา
– รองเท้าสำหรับเดินป่าหรือปีนเขา ถ้าเป็นชนิดกันน้ำจะดีมาก ไม่แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดา
– เสื้อกันลมหรือกันฝน
– ถุงมือกันลมหรือกันฝน
– Trekking pole ถ้าไม่มีติดตัวมา สามารถซื้อไม้ค้ำที่สถานีต่างๆได้ ซึ่งทุกสถานีมีจุดประทับตราเป็นสัญลักษณ์ว่าเราขึ้นไปถึงจุดใดบ้าง สนนราคาไม้ค้ำอยู่ที่ประมาณ 1,000 เยน และตราประทับราคา 300 -500 เยน ซึ่งถือเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของแต่ละจุดพัก
นอกจากนี้ เมื่อถึงยอดเขาแล้วควรเพิ่มเสื้อฟลีซ หมวกไหมพรม ไฟฉายแบบคาดหัว และอุปกรณ์กันหนาวอื่นๆ ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของคุณทนหนาวได้มากแค่ไหน
ปรับตัวกับความสูง
ฟูจิซูบารุไลน์ หรือสถานีที่ 5 (5th Station) สูงประมาณ 2,305 เมตรเหนือระดับทะเล เมื่อเราเดินมาถึงจุดนี้ ควรให้ร่างกายได้ปรับตัวกับความสูง โดยการเดินไปมาสักหนึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินขึ้นเขาตามเส้นทางโยชิดะ อย่าเร่งรีบจนเกินไป เพราะเรื่องของการเมาความสูงอันตรายมาก แม้เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงก็อาจมีอาการได้ เทคนิคการเดินควรรักษาระยะก้าวให้สม่ำเสมอ และควบคุมจังหวะหายใจให้ดี
ช่วงสถานีที่ 5 ถึงสถานีที่ 6 ระยะทางไม่ไกลมาก แต่จากสถานีที่ 6 ถึง 7 และจากสถานีที่ 7 ถึง 8 เป็นระยะทางไกลและชันมากขึ้น บางช่วงทางเป็นหินชัน จึงต้องใช้ไม้ค้ำ (หรือมือทั้งสองข้าง) ช่วยรักษาสมดุลไม่ให้ล้ม จริงๆแล้วเส้นทางไม่ได้ยากลำบากมาก แต่ความกดดันคือ เมื่อมีคนกลุ่มใหญ่ตามหลังมา เราจะรู้สึกเกรงใจอยากให้เขาแซงไปก่อน ซึ่งบางจุดอาจจะมีที่ให้หลบกันได้ แต่บางจุดไม่มีเลย โชคดีสำหรับเราที่ทางขึ้นเป็นวันเวย์ จึงไม่มีคนเดินสวนลงมา (ช่วงที่เป็นทางให้ทั้งขึ้น-ลงได้มีระหว่างสถานีที่ 5 และ 6 เท่านั้น)
แปดชั่วโมงกับการเดิน
เราออกเดินทางสิบโมงเช้าและถึงที่พักเวลาหกโมงเย็น ขณะนั้นแสงแดดจวนจะลับไปแล้ว และอากาศหนาวเย็นมาก โชคดีที่เราไม่เจอฝนระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นคงใช้เวลามากกว่านี้
โกไรโกะคังมีความสูง 3,450 เมตรเหนือระดับทะเล อากาศเบาบางทำให้หายใจลำบาก เมื่อเรามาถึง นักเดินทางหลายคนเข้านอนแล้ว เพราะส่วนใหญ่ตื่นนอนช่วงตีหนึ่งตีสอง เพื่อเดินขึ้นยอดเขาไปจับจองทำเลทองสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่เราดูพยากรณ์อากาศแล้ว เห็นว่าจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งนอกจากเราเดินขึ้นยอดสูงสุดไม่ได้แล้ว ยังหมายถึงเราอาจต้องติดอยู่ในที่พักจนกว่าฝนฟ้าจะหยุด คืนนั้นเราเข้านอนด้วยความกระวนกระวายใจ แต่ธรรมชาติเป็นอะไรที่เราควบคุมไม่ได้เลย
แสงแรกแห่งฟูจิ
เนื่องจากมีคำเตือนว่า ช่วงตีสามถึงหกโมงเช้าเป็นช่วงที่เส้นทางขึ้นฟูจิซังหนาแน่นเป็นพิเศษ อีกทั้งบนยอดอาจเนืองแน่นจนไม่มีที่ยืน เราจึงตัดสินใจชมพระอาทิตย์ขึ้นจากหน้าบ้านพักที่สถานี 8.5
เราคงพกดวงมาเต็มกระเป๋า เพราะฝนหยุดตกและฟ้าเปิด ณ เวลา 04:48 น. เราจึงเห็นแสงแรกแห่งฟูจิจากระเบียงของโกไรโกะคัง (ซึ่งโกไรโกะแปลว่า การมาถึงของแสงแรก) ในขณะที่ผู้คนที่อยู่บนยอดไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเพราะเมฆบัง จากนั้นเราจึงค่อยๆเดินขึ้นไปจนถึงสถานีที่ 10 ซึ่งเป็นยอดฟูจิซัง แต่เนื่องจากลมแรงถึง 50 นอต จึงได้เพียงเฉียดเข้าไปดูปากปล่องภูเขาไฟและไม่สามารถเดินโดยรอบได้
ทางลงท้าทายเท่าทางขึ้น
แม้ขาลงเราเคลื่อนที่ตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่เส้นทางชันพอสมควร อุปกรณ์ที่ควรมีอย่างยิ่งคือ ปลอกขากันทรายเข้ารองเท้า (hiking gaiters) และเนื่องจากทางลงเป็นคนละทางกับทางขึ้น จึงไม่มีจุดพักหรือร้านขายของชำเลย เพราะฉะนั้น ควรบริหารจัดการน้ำและเสบียงให้ดี trekking pole จำเป็นมากสำหรับการรักษาสมดุลเมื่อเดินลง เพราะพื้นผิวภูเขาไฟลื่นได้ง่าย สำหรับเราใช้เวลาเดินลงทั้งหมด 5 ชั่วโมงครึ่ง และเมื่อมาถึงฟูจิซูบารุไลน์ หรือสถานีที่ 5 เราก็ได้แต่โล่งอกที่ไม่เจอฝนระหว่างเส้นทาง และไม่มีใครป่วยหรือประสบอุบัติเหตุใดๆ ทริปที่ประสบความสำเร็จนั้นเราต้องลงมาถึงอย่างปลอดภัยด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ขึ้นถึงยอด
ตัวช่วยในการเลือกเส้นทาง
สำหรับคนที่อยากสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่และชอบการผจญภัย ลองศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมและตัดสินใจเลือกเส้นทางได้ตามนี้
- โยชิดะ (Yoshida Trail) เส้นทางที่นิยมที่สุดเนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวก (ห้องน้ำ จุดพัก และจุดปฐมพยาบาล) มากที่สุด ช่วงแรกเป็นทางคดเคี้ยวไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่จากสถานีที่ 7-8 มีทางเป็นหินชัน ทางขึ้นและลงคนละเส้นทาง
- ซูบาชิริ (Subashiri Trail) เส้นทางร่มรื่นปกคลุมด้วยต้นไม้ ข้อเสียคือหากมีหมอกหรือทัศนวิสัยไม่ดีอาจหลงทางได้ ทางลงเป็นคนละทางกับทางขึ้น และหลายคนนิยมวิ่งลงเพราะทางเป็นทรายภูเขาไฟ
- โกเต็มบะ (Gotemba Trail) เหมาะสำหรับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์มาก เพราะเส้นทางยาวที่สุด จุดพักน้อยและไม่ค่อยมีจุดสังเกตจึงอาจหลงทางได้ง่าย แต่ข้อดีคือคนใช้เส้นทางนี้น้อยและสามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ตลอดเส้นทาง
- ฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya Trail) ทางขึ้นและลงเป็นเส้นทางเดียวกัน ค่อนช้างชัน พื้นดินส่วนใหญ่เป็นกรวดหิน แต่ระยะทางสั้นที่สุดเพราะเริ่มจากจุดที่ค่อนข้างสูง
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 5 ธีมเที่ยวญี่ปุ่นโดยรถไฟที่คุณจะไม่มีวันลืม