บันทึกการเดินทาง กลับบ้านของทะเล

บันทึกการเดินทาง กลับบ้านของทะเล

18.05.2020

ความวุ่นวาย ณ ตอนนี้ ถ้าจะให้อธิบายก็คงจะไม่ต่างกับอาการแพนิก หรือตื่นตระหนกเท่าไหร่นัก ด้วยความเป็นคนขี้ลืมชนิดที่ว่า ไม่ว่าเหตุการณ์ไหนก็ต้องลืมตลอด เราและเพื่อนต้องตรวจเช็คของในกระเป๋าเดินทางซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะอีกไม่นานก็ต้องออกจากโรงแรมแล้ว ผ่านไปสักพักใหญ่เราก็ลงมาที่ล็อบบี้เพื่อเก็บของขึ้นรถบัสที่ทางสถานทูตจัดเตรียมไว้ให้ หยิบอาหารเช้าและน้ำเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถบัสไปทันที (เราต้องใส่แมสก์ตลอดเวลาและนั่งห่างกันคนละแถว) รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้

เเม้จะใกล้เวลารุ่งสางเเต่ความมืดก็ยังห่มคลุมทั่วท้องฟ้าเอาไว้ ทำให้ชวนเหงาอย่างไม่ต้องสงสัย แสงไฟข้างทางสลับผ่านไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถ ทุกคนบนรถต่างใช้เวลาอยู่กับตัวเอง บ้างก็ใส่หูฟังอย่างไร้บทสนทนา แต่ก็เงียบพอที่จะได้ยินเสียงตนเองที่ดังก้องในหัว

So kiss me and smile for me. Tell me that you’ll wait for me. Hold me like you’ll never let me go”

อยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้กับ Spotify ที่เลือกสุ่มเพลงนี้ขึ้นมาได้เหมาะเหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ เราคงไม่อยากจะไปปลุกคนอื่นในรถบัสคันนี้หรอกนะ

Cause I’m leavin’ on a jet plane, don’t know when I’ll be back again. Oh babe, I hate to go”

เสียงกีตาร์ที่คลอไปพร้อมกับเสียงร้องในแบบอtคูสติกคัฟเวอร์จากวง The Macarons Pro-ject ทำให้บรรยากาศตอนนี้ชวนเหงากว่าเดิมเป็นเท่าตัว แอบคิดไม่ได้ว่า ตั้งแต่เด็กที่เคยฟังเพลง Leaving on a jet plane กับการฟังตอนนี้มันช่างต่างกันเหลือเกิน ก็คงเพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้สินะ

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงรถบัสก็มาจอดที่สนามบิน พวกเราเคลื่อนย้ายตัวเองเข้าไปในสนามบินลำบากยิ่งกว่า เพราะจำนวนคนและอากาศที่แสนจะหนาวทำให้ลำบากกว่าเดิม เมื่อจัดการสัมภาระเรียบร้อย เรามานั่งรอในเกตที่ร้างจนไม่เห็นแม้แต่คน หรือร้านค้าที่ไม่แม้แต่จะเปิดบริการ มีเพียงตู้กดน้ำที่ยังคงใช้ได้และเป็นเพียงอย่างเดียวที่สามารถหาของกินได้ น่าขำ!

เกมการ์ดที่ถูกเลือกมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาในตอนนี้ ก็คงไม่พ้น UNO สภาพตอนนี้ก็ไม่ต่างกับคนอดนอนเท่าไหร่นัก ทำได้เพียงนั่งกินอาหารเช้าที่พกติดตัวมารองท้องไปพลาง ๆ เพื่อรอจนกว่าเราจะได้ขึ้นเครื่อง

แสงแดดยามเช้าเริ่มโผล่มาแล้ว พวกเราจึงต้องเตรียมตัวเพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล (เพื่อรอต่อเครื่องไปเมืองอัมสเตอร์ดัม เพราะประเทศอาร์เจนตินาไม่มีสายการบินพาณิชย์มาลง) ใช้เวลาสักพักในการย้ายตัวเองไปบนเครื่องบิน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยเพราะทุกคนต่างเข้าสู่นิทรากันหมด ยังดีที่เครื่องบินลำนี้เป็นแบบเช่าเหมาลำจึงไม่ได้นั่งติดกันมากนัก ความเงียบครั้งนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง เริ่มแล้วสินะ… การเดินทางกลับบ้านที่ยาวนานที่สุด

บันทึกการเดินทาง

ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง เครื่องบินก็ลงจอดที่บราซิลโดยสวัสดิภาพ โดยที่มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตของบราซิลคอยดูแลเราตลอด (พร้อมกับให้ถุงยังชีพกับครัวซองค์ที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา) ยังดีที่สนามบินมีร้านขายของเปิดให้บริการ เราจึงแวะซื้อขนมนิดหน่อยพอเป็นสเบียง และตรวจเอกสารใบรับรองแพทย์เพื่อรอขึ้นเครื่องในช่วงบ่าย บรรยากาศรอบๆ ตอนนี้ มีผู้โดยสารที่นั่งรออยู่เยอะพอสมควร อาจเป็นเพราะเครื่องบินที่บินกลับเข้าสู่ยุโรปมีค่อนข้างน้อย หลายๆ เที่ยวบินจึงมีผู้โดยสารหนาแน่นเป็นพิเศษ

นั่งรอต่อเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ได้ขึ้นเครื่องสักที เที่ยวบินนี้ต้องนั่งติดกัน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่เรียกได้ว่าเต็มทุกที่นั่ง แต่การขึ้นเครื่องในครั้งนี้ แตกต่างจากเดิมไปนิดหน่อย เพราะเราได้ถุงขนมใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยน้ำอัดลม น้ำเปล่า ขนม และช็อกโกแลต (ทางสายการบินแจ้งว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการถามจากแอร์โฮสเตสให้มากที่สุด) พร้อมทั้งต้องใส่แมสก์บนเครื่องตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ชั่วโมง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

ไม่นานหลังจากเครื่องเทกออฟ บรรยากาศของเครื่องบินก็เข้าสู่ความสงบ

ความเงียบมันกลับมาแล้วสินะ สารภาพตามตรงว่าเราเกลียดความเงียบสงบบนเครื่องบินเหลือเกิน เพราะทุกครั้งที่เกิดภาวะนี้บนเครื่องบิน (ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องจากที่แห่งหนึ่งและหลาย ๆ ครั้งมันคือคำว่า ตลอดกาล) ทำให้เราอ่อนไหวและนึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ จนน่ารำคาญ แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ตรงนั้น มีค่าและเป็นความทรงจำที่ดีขนาดไหน

It’s totally okay to crying, but I hope you will crying tears of joy

อ่านต่อหน้า 3

Recommend