ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาวงการแคมปิ้งเมืองไทยเป็นที่นิยมขึ้นมาแบบก้าวกระโดด ปัจจัยที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้การท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศต้องหยุดชะงักลง ผู้คนหันมาให้ความสนใจไปพักผ่อนยังสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติแบบกลางแจ้ง และ แคมปิ้ง กันมากขึ้น
ปี 2020 นี้ จึงเรียกได้ว่าเป็นปีทองของกิจกรรมเอ๊าต์ดอร์ทุกรูปแบบ หลาย ๆ คนตกหลุมรักเสน่ห์ของการนอนกลางดินกินกลางทราย และเริ่มออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครรู้บ้างว่าประวัติศาสตร์การ แคมปิ้ง มีมาอย่างยาวนาน ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป โดยเฉพาะอเมริกานั้นเริ่มมาตั้งแต่ ค.ศ. 1869 จากการที่ผู้คนเริ่มหันมาชื่นชมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และความงามของพืชพันธุ์สัตว์ป่าต่าง ๆ จนกลายมาเป็นการสร้างรากฐานในการดูแลทรัพยากรที่ดี ทำให้อเมริกาในปัจจุบัน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่อง Recreation Camping เป็นอย่างมาก
เรื่องและภาพประกอบ : ฐิตวันต์ ไชยวงศ์
จากรายงานของ North American Camping Report, sponsored by Kampgrounds of America (KOA)* ในปี 2019 มีจำนวนแคมปิ้งสูงถึง 91 ล้านครอบครัว เพิ่มจากปี 2018 ถึง 2.7 ล้านคน* และคาดว่าตัวเลขในปี 2020 นี้ จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก จากการคาดการณ์อันเนื่องมาจากสถานการณ์ Covid-19 ที่ทำให้ผู้คนหันมาขับรถท่องเที่ยว และออกไปใช้ชีวิตในธรรมชาติกันมากขึ้น การทำความเข้าใจและการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรเรียนรู้ไว้
จากประสบการณ์ที่ดีที่เราได้พบจากการไป แคมปิ้ง ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ฝั่ง East Coast ไปจนถึง West Coast เราจะพาไปดูวัฒนธรรมการตั้งแคมป์ของคนที่นี่กันว่าเป็นอย่างไร ไปจนถึง Camping Etiquette หรือมารยาทพื้นฐาน และข้อควรรู้เมื่อออกไปใช้ชีวิตในธรรมชาติ
1. เลือก Campsite ให้ถูกใจ จองล่วงหน้าไวได้ที่สวย
ในช่วงกลางปี 2020 หลังจากที่สถานการณ์ล็อกดาวน์เริ่มคลี่คลาย หลาย ๆ เมืองเริ่มทะยอยเปิดอุทยานแห่งชาติเพื่อให้คนได้ออกมาคลายความเครียด Campground (พื้นที่สำหรับกิจกรรมแคมปิ้ง) ต่าง ๆ ทั่วอเมริกาจึงถูกจองเต็มทุกวันหยุด หลาย ๆ สถานที่ถูกจองยาวล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน
การหา Campsite (จุดตั้งแคมป์) ที่ว่างกลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แต่ด้วยระบบการจองที่ดี ช่วยให้เราสามารถวางแผนการเที่ยวได้ล่วงหน้า ในส่วนของอุทยานแห่งชาติที่จัดการโดยรัฐจะมีเว็บไซต์ส่วนกลาง https://www.reserveamerica.com/ ให้เราเข้าไปดูพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์ของหลาย ๆ รัฐได้ทั่วอเมริกา เพียงแค่เลือกพื้นที่ที่เราต้องการไป หน้าเว็บไซต์จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้ ถ้าหากพื้นที่ตั้งแคมป์ที่ไหนเต็มแล้ว ระบบจะทำการแนะนำพื้นที่ใกล้เคียงให้แทน
ตัวอย่างการเลือกจองจุดตั้งแคมป์ที่ Promised Land State Park ในเมืองฟิลาเดลเฟีย จากเว็บไซต์ https://www.reserveamerica.com/ อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่มีจำนวนจุดตั้งแคมป์ให้บริการหลายจุดกระจายไปตามพื้นที่ของอุทยาน โดยจุดตั้งแคมป์มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับพื้นที่ บางแห่งมีห้องน้ำให้บริการ แต่อาจจะไม่มีห้องอาบน้ำ หรือสถานที่ตั้งแคมป์ในป่าหลาย ๆ แห่ง ไม่มีห้องน้ำแบบชักโครก แต่มีแบบส้วมหลุมให้ใช้ เป็นต้น
แผนที่ในเว็บไซต์สามารถขยาย กดเพื่อดูตำแหน่งที่ตั้ง และรายละเอียดของแต่ละจุดตั้งแคมป์ได้ สามารถดูจากสัญลักษณ์ที่แสดงในแผนที่ได้ว่าเป็นที่สำหรับตั้งเต็นท์เท่านั้น หรือเป็นที่จอดรถบ้าน โดยมักจะมีจุดชาร์จไฟไว้คอยให้บริการด้วย ทั้งยังมีการบอกตำแหน่งห้องอาบน้ำ ระยะทางการเดินจากจุดตั้งแคมป์ไปถึงห้องน้ำ ที่ตั้งของน้ำดื่ม หรือน้ำใช้ รวมถึงพื้นที่ที่ตั้งแคมป์นั้นอยู่ติดริมน้ำหรือไม่
ที่สำคัญยังบอกรายละเอียดของขนาดและความลึกของพื้นที่ ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าจะสามารถนำรถมาจอดได้กี่คัน หรือต้องจอดด้านนอก-ในพื้นที่ที่จัดไว้ แล้วค่อยเดินเท้าเข้าไปยังจุดตั้งแคมป์ รวมถึงบอกสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อย่างละเอียด แถมมีภาพของจุดตั้งแคมป์นั้น ๆ แนบมาให้ดูด้วย สำหรับไว้ใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา การจัดการพื้นที่ที่ดีคือให้แต่ละจุดตั้งแคมป์อยู่ห่างกันเพื่อความเป็นส่วนตัว อีกทั้งต้องมีความสะดวกสบายในการเข้าถึงห้องน้ำและพื้นที่ส่วนกลาง
ส่วนพื้นที่สำหรับกิจกรรมแคมปิ้งของเอกชน ส่วนมากจะมีรายละเอียดไม่ต่างกันนัก เพียงแต่จะต้องเข้าไปดูเว็บไซต์แยกกันไป หรือเลือกดูผ่าน Hub ที่รวบรวมจุดตั้งแคมป์ไว้ให้ โดยในบางสถานที่อาจจะมีส่วนลดต่าง ๆ สำหรับสมาชิกด้วย เช่น https://passportamerica.com/ https://koa.com/ หรือที่เราใช้บ่อยก็คือจุดตั้งแคมป์ที่มีส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิกนักปีนผาของ http://americanalpineclub.org/ ซึ่งมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมแคมปิ้งกระจายอยู่ทั่วประเทศ
สำหรับจุดตั้งแคมป์บางแห่งนั้น มักมีข้อกำหนดให้ผู้มาพักสามารถกางเต็นท์บนแพลตฟอร์ม หรือบริเวณที่กำหนดไว้ให้เท่านั้น พื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมแคมปิ้งแบบนี้ ส่วนมากมักมีลักษณะเป็นที่โล่งกว้าง และจัดวางตำแหน่งจุดแคมปิ้งให้อยู่ไกลกัน ยกเว้นในพื้นที่ป่าทึบ จุดตั้งเต็นท์อาจอยู่ติดกันได้ แต่จะถูกกั้นด้วยต้นไม้เพื่อ๋ช่วยให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
พื้นที่แคมปิ้งริมน้ำมักจะเป็นส่วนแรก ๆ ที่ถูกจองเต็มทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หลาย ๆ แห่งอนุญาตให้ลงเล่นน้ำได้ ทำให้เป็นที่นิยมในครอบครัวที่มีเด็ก ๆ ทั้งนี้ถ้าอยากนอนเล่นริมน้ำ ควรเลือกไปเที่ยวในวันธรรมดา เพราะมีโอกาสเลือกพื้นที่มุมสวย ๆ ได้มากกว่า ทั้งนี้พื้นที่ตั้งแคมป์จะถูกจัดให้เป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัว มีระยะห่างระหว่างกันพอสมควร มีโต๊ะรับประทานอาหาร และ Fire Ring ไว้ให้พร้อมใช้งาน
พื้นที่สำหรับกิจกรรมแคมปิ้ง ฝั่ง West Coast หรือในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ มีความพิเศษให้เราได้เลือกนอนริมหน้าผาติดทะเลฝั่งแปซิฟิก สามารถมองเห็นวิวได้ไกลสุดสายตา เป็นหนึ่งในที่ที่เราชอบไปตั้งแคมป์ที่สุด โดยมีจุดเด่นทั้งวิวทิวทัศน์ และความสะอาดสะอ้าน แต่ต้องจองล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะเป็นที่นิยมอย่างมาก
พื้นที่ตั้งแคมป์ในรูปแบบของที่จอดรถบ้าน หรือ Campervan มีรูปแบบการจัดการคล้ายกัน คือ มีโต๊ะรับประทานอาหาร จัดวางไว้ให้เป็นสัญลักษณ์บอกว่านี่คือพื้นที่ใช้ตั้งแคมป์ได้ เราสามารถเล็งจุดที่ชอบ แล้วเข้าไปจอดรถได้เลย จะให้แน่ใจก็ลองถามเพื่อนรถข้าง ๆ สักนิดว่า มีใครจองไว้ก่อนหรือไม่
หลาย ๆ พื้นที่สำหรับกางเต็นท์ ไม่มีการเปิดให้จองล่วงหน้า แต่ให้เข้าไปดูพื้นที่ด้วยตัวเอง เรียกว่าแบบ First Come, First Serve ถ้าหากมีที่ว่างก็จ่ายเงิน และเข้าพักได้เลย ที่พักประเภทนี้ใช้ระบบซื่อสัตย์ โดยให้เรากรอกรายละเอียดวันที่เข้าพัก และคำนวนค่าที่พักรวมทั้งหมด แล้วค่อยชำระเงินด้วยตัวเอง โดยให้หย่อนซองข้อมูลและเงินลงไปในตู้ที่เตรียมไว้ให้
จุดตั้งแคมป์อีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจคือ Lean-to camping โดยมากจะอยู่ในป่าลึก สำหรับเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ โดยจะมีเพิงสร้างจากหิน หรือไม้ ให้เข้าไปหลบลมฝนได้แบบไม่ต้องเสียเงิน แต่จะมีข้อกำหนดให้พักได้เพียงคืนเดียวเท่านั้น และจะต้องปฏิบัติตามกฏที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เช่น จุดไฟได้เฉพาะในที่ ๆ กำหนดไว้ ดับไฟให้สนิท และทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนออกจากพื้นที่ ไม่เก็บอาหารไว้ในเพิง หรือหากต้องเก็บควรเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด ไม่ให้มีกลิ่นเล็ดลอดออกมา เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ป่า เพิงเหล่านี้โดยมากจะมีขนาดใหญ่พอให้พักได้หลายคน ในบางครั้งก็จะต้องแบ่งพื้นที่ใช้งานกับแบ็กแพ็กเกอร์คนอื่น ๆ ด้วย
Primitive Campground หมายถึง Campground ที่ไม่มีห้องน้ำ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ให้เลย ส่วนมากจะอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก บางแห่งต้องมีใบอนุญาตจากอุทยานแห่งชาตินั้น ๆ โดยหลาย ๆ แห่งไม่อนุญาตให้จุดไฟ อีกทั้งยังเป็นที่รู้กันว่า เราจะต้องเตรียมพลั่วอันเล็กติดตัวไป สำหรับขุดดินทำห้องน้ำส่วนตัวตามธรรมชาติ โดยมีข้อปฏิบัติสากลคือ ต้องขุดดินลึกลงไปประมาณ 6-8 นิ้ว กว้างประมาณ 4 นิ้ว ที่สำคัญต้องอยู่ห่างจากจากจุดตั้งแคมป์ ทางเดินป่า และแหล่งน้ำเป็นระยะ 200 ฟีต (60 เมตร) เมื่อเสร็จธุระต้องฝังกลบให้เรียบร้อย เพื่อรักษาความสะอาดส่วนรวม ป้องกันสัตว์ป่าไม่ให้มาคุ้ยเขี่ย อีกทั้งต้องเก็บกระดาษชำระต่าง ๆ กลับไปกับเรา ไม่มีการทิ้งขยะใด ๆ ไว้ในป่าเป็นอันขาด นอกจากนั้นควรปักกิ่งไม้ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ป้องกันไม่ให้คนอื่น ๆ บังเอิญมาทำธุระในจุดเดียวกัน
อ่านต่อหน้า 2