เรื่องราวของ ‘ครอบครัวนักผจญโลกกว้าง’ ที่เดินทางข้ามทวีปและทั่วไทยบนรถบ้านคันยักษ์

เรื่องราวของ ‘ครอบครัวนักผจญโลกกว้าง’ ที่เดินทางข้ามทวีปและทั่วไทยบนรถบ้านคันยักษ์

เราตัดสินใจออกเดินทาง เพราะต้องการออกสำรวจโลกกว้างไปพร้อมกับการใช้เวลาด้วยกันอย่างเต็มที่ ในฐานะครอบครัว เราคิดว่ามันคงดีไม่น้อย หากลูก ๆ ได้เติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ประเพณี ได้เรียนรู้ความแตกต่างและหลากหลายอันน่ามหัศจรรย์ของโลกใบนี้”

Hakuna Matata คือคำภาษาสวาฮิลี จากทวีปแอฟริกาตะวันออก มีความหมายว่า ‘ไม่ต้องกังวล’ ตรงกับอุปนิสัยของสมาชิกทั้ง 4 ของครอบครัว ประกอบไปด้วยคุณพ่อซิลเวียน คุณแม่เอริกา และลูกชาย 2 คนคือทีโบและอีลาน

Hakuna Matata คำแสนยาวคำนี้ จึงถูกตั้งเป็นชื่อทริป และนำไปติดโดดเด่นไว้บริเวณหน้ากระจกรถบ้านสีเหลืองสด ที่เดินทางมาแล้วนับสิบประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่พวกเขาข้ามพรมแดนเข้าตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว ก่อนจะพบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงักเป็นระยะ

จนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังอยู่ในประเทศไทย ขับรถบ้านสีเหลืองคันใหญ่เดินทางลัดเลาะไปตามแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่งดงาม เข้าไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือชุมชนอันห่างไกลในหลายพื้นที่ และฝึกพูดภาษาไทยได้คล่องระดับที่สั่งอาหารได้ เรียกเก็บเงินรู้เรื่อง

“ทุกความแตกต่างของวัฒนธรรมคือสิ่งอัศจรรย์ที่น่าค้นหา เราเรียนรู้ที่จะชื่นชมและดื่มด่ำกับมันด้วยความเคารพ ด้วยดวงตาและหัวใจที่เปิดกว้าง ทุกการเรียนรู้ตลอดการเดินทางคือสิ่งที่เรามอบให้ลูกชายทั้งสองเป็นพื้นฐานทัศนคติ เพื่อหล่อหลอมเป็นแนวคิดสำหรับการใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง สังคมและโลกใบนี้ ในวันที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต” เอริกาเอ่ยขึ้น

เราชวนคุณนั่งลงสนทนากับครอบครัวเล็ก ๆ แสนอบอุ่น Hakuna Matata ถึงการเดินทางแสนทรหด และประสบการณ์ไม่รู้จบจากการเดินทางรอบโลก บนรถบ้านที่เป็นความใฝ่ฝันของผู้คนมากมายไปพร้อมกัน

01 จุดเปลี่ยนของชีวิต

ซิลเวียนเล่าว่า พวกเขาใช้เวลาเตรียมตัวถึง 3 ปี โดยเริ่มต้นจากการเข้าเป็นสมาชิกของชุมชนนักเดินทางเล็ก ๆ ชื่อ Families From All Over The World

“เราได้พบนักเดินทางหลายครอบครัวที่มีประสบการณ์มากมาย พวกเขาสร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางให้ครอบครับเรา ทั้งยังช่วยตอบข้อสงสัยและข้อกังวลใจต่าง ๆ ถ้าไม่มีจุดเริ่มต้นที่นั่น ทริป Hakuna Matata คงใช้เวลาเตรียมตัวยาวนานกว่านี้มาก หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ”

เอริกาเล่าพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนั้นฉันก็สงสัยอย่างที่คุณคงกำลังสงสัย ขนาดไปเที่ยวแค่ไม่กี่วัน เรายังหอบสัมภาระไปจนล้นกระเป๋า ทริปที่ยาวเป็นปีแถมไปกันทั้งครอบครัวแบบนี้ จะต้องขนข้าวของไปขนาดไหนถึงเพียงพอ”

เริ่มแรกครอบครัวซื้อรถบ้านมือสอง จากนั้นนำมาดัดแปลง ปรับปรุงและเพิ่มเติมเครื่องมืออำนวยความสะดวกหลายอย่างเข้าไป ตั้งแต่แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่บนหลังคา เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ในรถบ้าน มีพื้นที่เก็บน้ำสะอาดถึง 600 ลิตร และมีระบบหมุนเวียนที่น้ำจากการอาบน้ำ ถูกนำไปใช้กับชักโครกต่ออย่างคุ้มค่า

ซิลเวียนอธิบายว่า รถคันนี้มีอายุ 34 ปี และก่อนจะมาเป็นรถบ้าน มันเคยเป็นรถบรรทุกของกองทัพอิตาลีมาก่อน พื้นที่บนรถบ้านถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนกะทัดรัด

ถัดเข้ามาจากห้องคนขับคือพื้นที่อเนกประสงค์ เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว และกลางคืนถูกแปลงร่างเป็นที่นอนของเอริกาและซิลเวียน ครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเตาอบและเตาไฟฟ้า รวมถึงห้องอาบน้ำและห้องน้ำอยู่ส่วนกลาง และส่วนท้ายรถเป็นเตียง 2 ชั้นของลูกชายทั้ง 2 คน

“ขั้นตอนการทำเอกสารใช้ความอดทนและความละเอียดถี่ถ้วนอย่างมาก เพราะเราต้องเตรียมเอกสารต่าง ๆ เพื่อใช้เดินทางข้ามไปให้พร้อมที่สุด โดยเฉพาะเอกสารเกี่ยวกับรถ ที่จะเป็นบ้านเคลื่อนที่หลังเล็กของเราไปอีกหลายปีตลอดการเดินทาง

“พวกเราขายบ้าน ขยายธุรกิจ ขายข้าวของทุกอย่างนอกเหนือจากที่จำเป็น เก็บสมบัติที่มีค่าบางชิ้นไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นจึงออกเดินทางจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มุ่งหน้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจของธรรมชาติ ความงดงามของวัฒนธรรม รวมถึงความหลากหลายของผู้คนและอาหารอาเซียนก็อร่อยมาก เราจึงเลือกภูมิภาคนี้เป็นจุดหมายปลายทางแรก”

02 ครอบครัวนักเดินทาง

9 พฤษภาคม ปี 2019 ครอบครัว Hakuna Matata ออกเดินทางจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ บนรถบ้านสีเหลืองสดใสคันใหญ่ พวกเขาขับผ่านหลายประเทศในยุโรปตั้งแต่ เยอรมนี เช็ก โปแลนด์ ลิทัวเนีย ลัตเวีย ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ค่ำที่เมืองไหนก็แวะพักที่เมืองนั้น กฎเหล็กสำคัญเพื่อความปลอดภัยของทริป Hakuna Matata คือเดินทางเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น

หนึ่งเดือนต่อมา พวกเขาก็ถึงชายแดนประเทศรัสเซีย และต้องเดินทางข้ามรัสเซียอันกว้างใหญ่ไพศาลระยะทางกว่า  5,500 กิโลเมตร ไปยังมองโกเลีย ภายใน 30 วัน “รัสเซียเป็นประเทศที่น่าทึ่งจริง ๆ ด้วยขนาดใหญ่โตของพื้นที่ ทำให้ตลอดระยะทาง เราได้พบเจอภูมิประเทศและวัฒนธรรมแตกต่างกันหลายรูปแบบ

“คนรัสเซียเป็นมิตรมาก หลายเมืองที่ขับผ่าน เราได้รับการเชื้อเชิญให้ไปเยี่ยมและกินอาหารที่บ้านของหลาย ๆ ครอบครัวชาวรัสเซีย ทีโบและอีลานขัดขี่มอเตอร์ไซต์และเรียนเต้นรำแบบพื้นเมืองกับเด็ก ๆ  ในชุมชมบริเวณเทือกเขาอัลไต เป็นช่วงเวลาแสนสนุกของลูก ๆ ที่ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกขอบคุณที่ครอบครัวของเราตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้” เอริกาเล่าพร้อมรอยยิ้ม

พวกเขาใช้เวลาในประเทศมองโกเลียถึง 2 เดือน ‘ประเทศเหนือกาลเวลา’ คือคำที่พวกเขาใช้อธิบายความเหนือบรรยายของดินแดนแห่งนี้

“เราขับรถผ่านทุ่งหญ้าและทะเลทรายที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไม่กี่วันต่อมาบรรยากาศโดยรอบกลายเป็นผืนป่าและภูเขาสูงชัน มองโกเลียเป็นประเทศที่เราพบสัตว์ป่าจำนวนมากอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ น่าจะมากที่สุดเท่าที่เราเคยพบเห็นเลยล่ะ ทั้งม้า แพะภูเขา อูฐ ไปจนถึงจามรี”

4 เดือน หลังบอกลาบ้านเกิดในยุโรป พวกเขาก็เดินทางมาถึงประเทศจีน ซิลเวียนอธิบายว่า การขับรถท่องเที่ยงเองโดยไม่มีมัคคุเทศนั่งประจำอยู่บนรถด้วย ถือว่าผิดกฎหมายจีน แต่การขับรถข้ามประเทศลงใต้มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีระยะทางมากกว่า 7,000 กิโลเมตร ต้องใช้เวลานับสัปดาห์ ค่าธรรมเนียมมัคคุเทศจึงมีราคาแพงไปโดยปริยาย

“เราจึงไปรวมกลุ่มกับนักเดินทางบนรถบ้านอีกเจ็ดครอบครัว เพื่อจ้างมัคคุเทศสองคนให้มานำทาง ปรากฏว่าการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่นั้นสนุกมาก นอกจากความน่าเหลือเชื่อของทัศนียภาพที่ขับผ่านแล้ว บริบททางวัฒนธรรมของจีนยังน่าสนใจไม่แพ้กัน

“มีครั้งนึง มัคคุเทศพาเราไปยังหมู่บ้านที่เล็กที่สุดในประเทศ แต่เชื่อไหมว่านั่นก็ยังเป็นหมู่บ้านขนาดมโหฬารในสายตาเราอยู่ดี ภาษาอังกฤษของเรายังไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่โชคดีที่มัคคุเทศของเรา เซียและหลิวพูดภาษาฝรั่งเศสได้ เราจึงได้ความรู้และเข้าใจความเป็นจีนอย่างคนจีนเล่าให้ฟัง”

03 ความสุขที่ค้นพบ

ในที่สุด ครอบครัว Hakuna Matata ก็เดินทางเข้าสู่เอเชียตะวันเฉียงใต้ที่ประเทศลาว พวกเขาใช้เวลาหลายวันที่หนองเขียว หมู่บ้านเล็ก ๆ อันเงียบสงบทางเหนือ จากนั้นมุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัด ทำสมาธิกับพระสงฆ์และเด็ก ๆ ในชุมชน

“ครอบครัวของเราจากสวิสเซอร์แลนด์บินมาเยี่ยมเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาอยากรู้ว่าวิถีชีวิตบนรถบ้านตลอดเวลาหลายเดือนของการเดินทางนั้นเป็นอย่างไร เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราพักจากการขับรถ และขี่จักรยานตระเวนไปทั่วเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์” เอริกาเล่า

“จากนั้นเราใช้เวลาสามสิบวันต่อมา ที่ประเทศเวียดนามกับชุมชนชาติพันธุ์หลายกลุ่ม เราได้รับบทเรียนที่มีค่ามากมาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิตพึ่งพิงธรรมชาติ ตั้งแต่การสร้างผลิตภัณฑ์ ถักทอเครื่องนุ่งห่ม สร้างที่อยู่อาศัย ไปจนถึงการเลือกใช้สมุนไพรเยียวยารักษา ทั้งหมดนี้คือวิถีชีวิตที่ข้าวของเครื่องใช้ล้วนไม่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม ไม่ต้องปรุงแต่งหรือดัดแปลงอะไรเพิ่มเติมไปจากสภาพตามธรรมชาติ”

หลังการเดินทางในเวียนนามสิ้นสุด พวกเขากลับมาที่หลวงพระบาง ประเทศลาวอีกครั้ง เพื่อพบพระโอบี พระสงฆ์หนุ่มชาวลาว ผู้ก่อตั้งองค์กรช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่แสวงผลกำไร Keep Helping Each Other ซึ่งมุ่งเน้นการมอบโอกาสทางการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมให้กับเด็ก ๆ ด้อยโอกาส รวมถึงเยาวชนชายขอบ

“เราสนทนากับพระโอบีถึงปณิธานของเขา ครอบครัวของเรามีโอกาสติดตามกลุ่มอาสาสมัครขององค์กรไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ถุรกันดารเพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์ทางการศึกษาให้ชุมชน การเดินทางครั้งนี้มอบประสบการณ์ทางจิตวิญญาณให้เราอย่างมาก”

เอริกาเล่าว่า พวกเขาวางแผนก่อตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรในชื่อ Listen To Your Heart And Help เพื่อช่วยพระโอบีขยายความช่วยเหลือให้กว้างไกลขึ้น โดยมีเหตุผลเรียบง่ายว่า “เมื่อมีโอกาส ทำไมจึงเลือกจะมองข้ามโอกาสและปฏิเสธที่จะช่วยเหลือผู้อื่นล่ะ จริงไหม”

สัปดาห์สุดท้ายในประเทศลาว พวกเขาเดินทางไปวังเวียงและได้พบกับ โซ เด็กชายวัย 14 ปี ผู้อาศัยอยู่ในวัดและข้างถนน เริ่มแรกครอบครัว Hakuna Matata ชวนเขามากินข้าว จากนั้นกิจกรรมจึงเพิ่มมากขึ้นตามความสนิทสนม “โซได้ไปว่ายน้ำและปั่นจักรยานกับทีโบและอีลาน เขาเคยจะมานอนบนรถบ้านกับพวกเราด้วย แต่ปรากฏว่ามันร้อนเกินไปสำหรับเขา

“แม้จะมีกำแพงภาษา แต่ทีโบและอีลานก็สามารถวิ่งเล่น และทำกิจกรรมสนุกกับเพื่อนใหม่ได้อย่างไม่มีปัญหา จริง ๆ ทุกประเทศที่เราเดินทางมา เด็ก ๆ ไม่เคยมีปัญหาในการปรับตัวเข้าหากันเพื่อไปเล่นสนุกกันตามประสาเลยครับ” ซิลเวียนเล่าพร้อมรอยยิ้ม

“นี่คือเหตุผลที่เราอยากกลับไปที่ลาวอีกครั้ง เพื่อพบพระโอบีและเพื่อน ๆ อาสาสมัครของ Listen To Your Heart And Help รวมถึงโซ เราอยากเห็นว่าเขาเติบโตขึ้นแค่ไหน มีทุกข์สุขในชีวิตอย่างไร เพราะตลอดปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของผู้คนทั่วโลก”

04 บ้านที่ไม่เหมือนใคร

มกราคม ปี 2020 ครอบครัว Hakuna Matata ออกเดินทางจากลาวสู่ประเทศไทย โดยขับรถลัดเลาะไปตามแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามของภาคอีสาน มุ่งหน้าสู่บ้านสีถาน จังหวัดกาฬสินธุ์ หมู่บ้านเล็ก ๆ อบอุ่นเป็นมิตรที่สมาชิกในครอบครัวได้เรียนรู้การทอผ้าและวิถีทางการเกษตรที่เน้นเรื่องความยั่งยืนของชีวิตและสิ่งแวดล้อม จากครอบครัวของเพื่อนชาวไทยอย่างสมบัติ

เอริกาเล่าต่อว่า “เราขับรถต่อไปยังพิมาย จังหวัดโคราช ซึ่งเป็นบ้านของโทมัส ชาวฝรั่งเศสพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว เพื่อนใหม่ที่เราพบตอนอยู่ประเทศลาว โทมัสมีภรรยาชาวไทย ดังนั้นตอนที่ครอบครัวของเราไปเยี่ยม เราจึงได้เรียนรู้วัฒนธรรมและชีวิตชนบทของชาวไทยอีสาน ทั้งแคปปิ้งไปและหัดทำอาหารมังสวิรัติด้วยวัตถุดิบพื้นถิ่น เป็นสัปดาห์ยอดเยี่ยมที่น่าเหลือเชื่อมาก”

พวกเขาเดินทางไปเกาะช้าง อยุธยาและกาญจนบุรี และตอนนั้นเองที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มปะทุขึ้น ตามข้อบังคับในช่วงล็อกดาวน์ พวกเขาไม่สามารถอาศัยอยู่บนรถบ้านได้ จึงเดินทางลงใต้ไปจังหวัดกระบี่เพื่อเช่าอาศัยที่บ้านริมหาดของเพื่อนชาวฝรั่งเศส ที่นั่นพวกเขาได้เรียนรู้วัฒนธรรมปักษ์ใต้หลายอย่าง รวมถึงฝึกพูดภาษาไทยสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน

“ในความไม่คาดฝันของสถานการณ์โรคระบาด ก็นับว่าโชคดีที่เราเผชิญกับเหตุการณ์นี้ที่ประเทศไทย เพราะนอกจากความเป็นมิตรของผู้คนแล้ว อาหารไทยอร่อยมาก ครอบครัวเราเป็นมังสวิรัติ ที่นี่มีผักและผลไม้สดให้เลือกเยอะแยะไปหมด”

อย่างไรก็ตาม หลายเดือนผ่านไปและสถานการณ์ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ครอบครัว Hakuna Matata จึงตัดสินใจบินกลับไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยเช่าพื้นที่จอดรถบ้านไว้ที่พัทยา เพื่อเดินเรื่องเอกสารในการเปิดองค์กรไม่แสวงผลกำไรใน Listen To Your Heart And Help ทีแรกพวกเขาคิดว่าจะกลับไปตั้งหลักดูสถานการณ์ประมาณ 3 เดือน แต่กว่าไทยจะเปิดประเทศจากการล็อกดาวน์อีกครั้ง ก็เป็นช่วงสิ้นปี 2020

ซิลเวียนใช้เวลาช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ซ่อมแซมรถบ้าน เพื่อเตรียมตัวกลับสู่การเดินทางในปี 2021 “เราดีใจมากที่ในที่สุด ก็ได้กลับใช้ชีวิตมาใน ‘บ้าน’ ติดล้อของครอบครัวอีกครั้ง”

05 บทเรียนล้ำค่า

ชีวิตบนรถบ้าน ทีโบและอีลานเรียนหนังสือแบบโฮมสกูล โดยเอริกาเป็นคนออกแบบการเรียนรู้ของลูก ๆ เอง และจะใช้เวลาช่วงเช้าของทุกวันเป็นชั่วโมงการเรียน ไม่ว่ารถบ้านจะจอดอยู่ที่ไหน บนภูเขาสูงหรือริมชายหาด เด็ก ๆ จะมีชั่วโมงเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

เอริกาบอกทิ้งท้ายถึงประสบการณ์ล้ำค่าที่ครอบครับของเธอได้รับตลอด 3 ปีที่ผ่านมาว่า “นี่คือการเดินทางออกจากคอมฟอร์ทโซนอย่างแท้จริง เราเรียนรู้การปรับตัวและใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่นไปกับบริบทที่หลากหลายของโลกใบนี้ เมื่อวานเราอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาแบบหนึ่ง วันต่อมาเรากระโดดข้ามเส้นสมมติที่เรียกว่าชายแดนมายังอีกวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิง

“เราเรียนรู้ที่จะมองข้ามเปลือกและความไม่จริงแท้ เพื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเท่านั้น เพราะบ้านติดล้อของเราหลักเล็กนิดเดียว เราไม่มีพื้นที่สำหรับข้าวของเกินความจำเป็นในการดำรงชีวิต สิ่งนี้นำมาสู่ความเคารพในธรรมชาติ เพราะทุกอย่างถูกสร้างขึ้นจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น ดังนั้นการลดการใช้ จึงเท่ากับการเพิ่มอายุขัยให้ธรรมชาติ”

“ทุกความแตกต่างของวัฒนธรรมคือสิ่งอัศจรรย์ที่น่าค้นหา เราเรียนรู้ที่จะชื่นชมและดื่มด่ำกับมันด้วยความเคารพ ด้วยดวงตาและหัวใจที่เปิดกว้าง ทุกการเรียนรู้ตลอดการเดินทางคือสิ่งที่เรามอบให้ลูกชายทั้งสองเป็นพื้นฐานทัศนคติ เพื่อหล่อหลอมเป็นแนวคิดสำหรับการใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง สังคมและโลกใบนี้ ในวันที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต”

เรื่อง มิ่งขวัญ รัตนคช

ภาพถ่าย ณัฐกิตติ์ มีสกุล


เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : 25 จุดหมายยอดเยี่ยมที่สุดของโลก

จุดหมายปลายทาง

Recommend