บทเรียนจากเมื่อวาน
กับดักสันดอนเลนเมื่อวาน ทำให้เราเริ่มตรวจสอบตารางน้ำด้วยความระวัง น้ำกำลังขึ้นสูงทำให้ไม่ต้องระวังหินคมเหมือนเมื่อคืน เช้านี้พอได้เห็นด้วยตาชัดๆ แล้ว คลองบ้านไหนหนังที่ดูยาวไกลในความมืดที่จริงแล้วมันสั้นนิดเดียวเอง
วันนี้น้ำลงช่วงบ่ายเหมือนเมื่อวาน แต่ไม่มีใครในกองเรือรู้จุดที่น้ำจะแห้งจนเป็นสันดอน เราต้องไปให้ถึงที่พักก่อนที่น้ำลงสุดจะสร้างความลำบากให้เราอีกครั้ง หลังออกจากปากคลองไหนหนังมาได้ไม่นาน พวกเราพายผ่านช่องเขากาโรสซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดท่องเที่ยวให้พายเข้าไปได้ แต่คงต้องติดเอาไว้รอบหน้า วันนี้ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์เถลไถล
น้ำกำลังขึ้นช่วยส่งเรือไปในทิศที่ต้องการพอดี พวกเราต้องรีบทำระยะก่อนที่น้ำจะเปลี่ยนทางมาเป็นศัตรูของเรา พอใกล้เที่ยงแดดก็เริ่มกลับมาทำสงครามกับเราอีกครั้ง หน้าขาที่ยังร้อนระอุจากเมื่อวานเริ่มมีอาการแสบร้อน เราต้องเอาผ้ามาคลุมปิดให้มิดทุกส่วนของร่างกาย
โชคดีที่ในทะเลทุกจุดแถบนี้มีสัญญาณโทรศัพท์เต็มเปี่ยม เมื่อเช็คดูระยะ เส้นทาง น้ำขึ้นน้ำลง และพยากรณ์ลมกันอย่างดีแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจตัดตรงข้ามอ่าวไปยังแหลมสักกันเลย ถึงแม้จะเรียกว่าการพายตัดอ่าว แต่ตรงจุดนี้เป็นอ่าวชั้นในสุด ด้านนอกมีเกาะยาวใหญ่และยาวน้อยขวางลมให้อยู่ ทะเลด้านในนี้จึงเรียบเหมือนกับเป็นทะเลสาบ
สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
พอเข้าช่วงบ่าย คอ หลัง ไหล่ และก้น ก็เริ่มงอแง ไม่ว่าจะขยับเปลี่ยนเป็นท่าไหน ก็อยู่ได้ไม่เกิน 20 นาที ต้องหาทางเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ ความท้อแท้ถาโถมมาทั้งทางกายและใจ ทะเลกว้างที่แทบไม่มีอะไรเป็นจุดสังเกต ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเรากำลังเคลื่อนที่
แผ่นดินด้านหน้ามีเจดีย์วัดให้พอมองเห็นอยู่ลิบๆ จากตอนแรกที่เห็นยอดเจดีย์ต่ำกว่ายอดต้นไม้ของภูเขาด้านหลัง และแล้วเจดีย์ค่อยๆ สูงขึ้นอย่างช้าๆ จนพ้นยอดไม้ ความสูงของยอดเจดีย์ที่เปลี่ยนไปคือสิ่งที่บอกว่าเรากำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้เรื่อยๆ
นอกจากยอดเจดีย์แล้ว หัวเรือที่แหวกผ่านน้ำเห็นเป็นคลื่นคือสิ่งที่มองแล้วมีกำลังใจที่สุด เพราะมันคือหลักฐานว่าเรากำลังเคลื่อนที่อยู่ คนเดินป่าบางคนเคยเล่าว่า เวลาเดินถ้ามองไกลมันจะท้อ ให้มองที่เท้าตัวเอง เดินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด เดี๋ยวมันก็จะถึง นี่คงเป็นอารมณ์คล้ายกัน
อ่านต่อหน้า 6