นักรบย่อมมีบาดแผล
การเร่งทำเวลาเพื่อหนีน้ำลง ทำให้เราถึงที่พักตั้งแต่บ่ายสาม ได้ซักตากความเค็มออกจากร่างกาย และชื่นชมกับแสงสุดท้ายของวันแบบตัวแห้งสะอาด
ระยะทางรวมตอนนี้อยู่ที่ 45 กิโลเมตรแล้ว สองวันเต็มที่เราพายเรือสู้กับแดดและน้ำ ตอนนี้นิ้วกลางมือขวามีอาการบวมขึ้นมาอย่างชัดเจน สาเหตุอาจจะมาจากการออกแรงผิดท่าในตอนที่เร่งทำเวลา หรืออาจจะมาจากเส้นผ่านศูนย์กลางของพายที่ไม่พอดีมือก็เป็นได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มื้อเย็นของวันเต็มไปด้วยความทุลักทุเลเพราะมือขวาออกแรงกำช้อนกินข้าวแทบไม่ได้ ความกังวลว่าจะต้องถอนตัวเริ่มผุดขึ้นมาเป็นระยะ เราข่มความกังวลนั้นไว้แล้วทำสิ่งที่ทำได้ ยืดเหยียดร่างกายให้ดีที่สุด ยืดเส้นแขนขาบ่าไหลอย่างละเอียด แล้วก็เข้านอน
สงครามยังไม่จบ
มือที่บาดเจ็บเมื่อวาน เช้านี้อาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังกังวลว่าถ้ากลับมาเจ็บ แล้วพังที่กลางทะเลจะทำอย่างไร หลังจากปรึกษากับเพื่อนๆ แล้ว ทุกคนสัญญาว่าจะช่วยกันลากไปให้ถ้าพายไม่ไหว แถมเมื่อดูตารางน้ำแล้วพวกเราน่าจะพายตามน้ำไปเกือบตลอดทาง เราจึงตัดสินใจไปต่อพร้อมกับทุกคน
ที่พักพวกเราอยู่บนยอดเนินมองลงมาเห็นพื้นที่อย่างชัดเจน เช้านี้น้ำแห้งเห็นพื้นเลนกว้างไปหลายร้อยเมตร โชคดีที่เมื่อวานพวกเราเข้ามาก่อนน้ำลงสุด กว่าน้ำจะขึ้นสูงพอให้เอาเรือออกได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 10 โมง
พวกเราตัดตรงพุ่งเข้าสู่หมู่เกาะเขาหินปูนที่ขวางตัวอยู่ด้านหน้า เหลี่ยมเขาค่อยๆ เลื่อนเปิดให้เห็นช่องตามมุมของเรือที่เคลื่อนที่ หน้าผาหินปูนตั้งดิ่งสูงจรดฟ้า หน้าผาหยาบกระด้างสีเทาอ่อนแทรกด้วยพืชพรรณไม้สีเขียว ลำต้นและรากพันเกาะเกี่ยวกับหินแกร่ง ปลายกิ่งมีดอกสีขาวแต้มอยู่ประปราย ไม่ว่าสถานที่จะยากลำบากแค่ไหนต้นไม้ก็ไม่เคยยอมแพ้
คลื่นซัดสาดฐานเกาะจนเว้าแหว่ง บางจุดก็เว้าเข้าไปมากจนเหมือนหลังคายื่นออกมาให้เราหลบแดด บางจุดก็โดนเซาะเข้าไปด้านในแต่เหลือฐานด้านนอกไว้ เกิดเป็นโพรงถ้ำทะลุให้ลอดผ่าน
พวกเรากระจายตัวกันสำรวจขอบผา มุมโน้นที มุมนี้ที คล้ายกับกลุ่มเด็กในสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ การพายแบบที่เห็นทิวทัศน์ที่ต่างไปทุกซอกมุม ดีกว่าการพายกลางทะเลล้วนๆ แบบเมื่อวานมากๆ
อ่านต่อหน้า 7